คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2217/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมาศาลโดยไม่ปรากฏว่านอกจากตัวจำเลยแล้วมีพยานจำเลยมาศาลอีก และไม่ปรากฏว่าเมื่อศาลสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี และถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบกับให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไปแล้วจำเลยได้แถลงขอสืบพยานที่มาศาล ดังนั้น จำเลยจะอ้างว่าการที่ศาลไม่ถามจำเลยเสียก่อนว่า จำเลยจะสืบพยานของจำเลยต่อไปหรือไม่นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องแถลงต่อศาลเอง
ศาลพิพากษาให้ อ. ใช้เงินคืนแก่สามีจำเลยตามฟ้อง จำเลยมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับสามี สามีจำเลยเท่านั้นที่จะบังคับยึดทรัพย์ของ อ. ตามคำพิพากษาได้
เมื่อทรัพย์ที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้ปรากฏว่า อ. ในฐานะตัวแทนโจทก์มีอำนาจทำสัญญาขายที่พิพาทให้สามีจำเลยได้ แต่โจทก์ก็มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับ อ. และ อ. ก็มิได้ถูกฟ้องในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ ทั้งจำเลยและสามีจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ อ. จึงไม่มีสิทธิ์บังคับคดีเหนือที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์และเป็นบุคคลนอกคดีได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้เช่าที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์จากนางแอร่ม พิบูลภานุวัธน มารดาโจทก์ผู้ได้รับมอบอำนาจทั่วไปจากโจทก์เพื่อเป็นที่ตั้งโรงเรียน สัญญาเช่าครบกำหนดมานานแล้ว แต่จำเลยยังคงเช่าที่ดินของโจทก์ตลอดมาโดยมิได้ทำสัญญาเช่ากันใหม่ โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าที่ดินต่อไป ทั้งจำเลยค้างค่าเช่า นางแอร่ม พิบูลภานุวัธน ผู้รับมอบอำนาจจึงได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าไปยังจำเลยให้รื้อถอนโรงเรียนออกไปจากที่ดินของโจทก์ พร้อมทั้งชำระค่าเช่าที่ค้าง จำเลยไม่ปฏิบัติตาม จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยกับบริวารรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินที่เช่า และให้จำเลยชำระค่าเช่า และค่าเสียหายกับดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ได้ทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินกับนางแอร่ม พิบูลภานุวัธน ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ และโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าแล้วจริงตามฟ้อง แต่โจทก์ในฐานะตัวการ นางแอร่ม พิบูลภานุวัธน ในฐานะตัวแทนได้สมคบกันใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงให้นายอุทัย สัมฤทธิ์อุทัย สามีจำเลยและจำเลยหลงเชื่อว่านางแอร่ม พิบูลภานุวัธน เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้อง ไม่มีหนี้จำนองผูกพันที่ดินเป็นเหตุให้นายอุทัยกับจำเลยตกลงซื้อที่ดินดังกล่าวและได้จ่ายเงินให้โจทก์ไปตามสัญญาจะซื้อขาย ๘๐๐,๐๐๐ บาท แม้ตามสัญญานายอุทัยจะเป็นผู้ซื้อเพียงคนเดียว แต่ก็ทำในฐานะตัวแทนของจำเลยด้วย และเงิน ๘๐๐,๐๐๐ บาท ก็เป็นสินสมรสระหว่างนายอุทัยกับจำเลย ความจริงที่ดินดังกล่าวโจทก์เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ไม่ใช่นางแอร่ม พิบูลภานุวัธน และโจทก์ได้จำนองที่ดินนั้นไว้ก่อนจะนำมาหลอกลวงขายให้นายอุทัยกับจำเลย สัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวนายอุทัยและจำเลยไม่มีทางบังคับให้โจทก์โอนขายที่ดิน เพราะนางแอร่มไม่ใช่เจ้าของ จึงเป็นโมฆะ นายอุทัยได้ฟ้องเรียกเงิน ๘๐๐,๐๐๐ บาท กับค่าเสียหายจากนางแอร่มในคดีดังกล่าว โจทก์ในฐานะตัวการมีหน้าที่ผูกพันจะต้องรับผิดชอบชำระเงิน ๘๐๐,๐๐๐ บาทคืน พร้อมด้วยค่าเสียหาย นายอุทัยกับจำเลยยังไม่ได้รับชำระหนี้ จำเลยจึงมีสิทธิ์ยึดหน่วงที่ดินของโจทก์ไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ ส่วนค่าเช่าและค่าเสียหายตามฟ้องจำเลยขอหักกลบลบหนี้ และโจทก์ยังเป็นลูกหนี้จำเลยไม่มีสิทธิ์ฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ การที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอาคารเรียนออกไปจากที่ดินของโจทก์ ทำให้จำเลยและนักเรียนได้รับความเสียหาย เป็นการใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริต
ในวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยขอเลื่อนคดีหลายครั้งในที่สุดทนายจำเลยขอเลื่อนคดีอ้างว่าติดว่าความที่ศาลอื่น ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาต และถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไป ในวันเดียวกันนั้นจำเลยยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้น เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าในคดีที่นายอุทัย สัมฤทธิ์อุทัย สามีจำเลยฟ้องนางแอร่ม พิบูลภานุวัธน มารดาโจทก์เป็นเรื่องระหว่างสามีจำเลยกับมารดาโจทก์ แม้ศาลพิพากษาให้มารดาโจทก์คืนเงิน ๘๐๐,๐๐๐ บาทแก่นายอุทัยสามีจำเลย ก็มิใช่หนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยที่ดินซึ่งเป็นของโจทก์ให้จำเลยเช่า จำเลยไม่มีสิทธิ์ยึดหน่วงที่ดิน เมื่อจำเลยยังคงอยู่ในที่ดินต่อมาหลังจากหมดอายุสัญญาเช่า และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้วจึงเป็นการอยู่โดยละเมิด โจทก์ฟ้องคดีโดยสุจริต พิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี หรือพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยโดยถือว่าไม่มีพยานมาสืบนั้นชอบด้วยเหตุผลแล้ว พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ กับให้นับสืบพยานโจทก์ไปเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทนายจำเลยขอเลื่อนคดีเพราะติดว่าความอื่นที่ศาลอาญา และในวันนั้นจำเลย (และพยานจำเลย) ได้มาศาล ถ้าศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่สมควรให้เลื่อนคดีไป ก็ชอบที่จะถามจำเลยก่อนว่าจำเลยจะสืบพยานของจำเลยต่อไปหรือไม่นั้น ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นไม่ปรากฏว่านอกจากตัวจำเลยแล้วมีพยานจำเลยอื่นมาศาลอีก และไม่ปรากฏว่าเมื่อศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ กับให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไป แล้วจำเลยได้แถลงขอสืบพยานที่มาศาล ดังนั้น จำเลยจะอ้างว่าการที่ศาลชั้นต้นไม่ถามจำเลยเสียก่อนว่าจำเลยจะสืบพยานของจำเลยต่อไปหรือไม่นั้นเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องแถลงต่อศาลเอง ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีสิทธิ์ยึดหน่วงที่พิพาทไว้ได้นั้นเห็นว่าจำเลยเป็นคู่สัญญาเช่าที่พิพาทกับโจทก์ ส่วนนายอุทัยสามีจำเลยเป็นคู่สัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทกับนางแอร่ม แม้จำเลยจะอ้างว่านายอุทัยสามีจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทกับนางแอร่มในฐานะตัวแทนของจำเลยด้วย เพราะนางแอร่มใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงให้นายอุทัยสามีจำเลยและจำเลยหลงเชื่อว่านางแอร่มเป็นเจ้าของที่พิพาทและไม่มีหนี้จำนองผูกพันที่พิพาท ทั้งเงินที่นายอุทัยสามีจำเลยเอาไปซื้อที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างนายอุทัยสามีจำเลยกับจำเลย แต่ในคดีที่ศาลพิพากษาให้นางแอร่มใช้เงิน ๘๐๐,๐๐๐ บาทคืนแก่นายอุทัยสามีจำเลยตามฟ้อง จำเลยมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับนายอุทัยสามีจำเลย นายอุทัยสามีจำเลยเท่านั้นที่จะบังคับคดียึดทรัพย์นางแอร่มเอามาขายทอดตลาดใช้หนี้ตามคำพิพากษาได้ เมื่อทรัพย์ที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้นางแอร่ม พิบูลภานุวัธน ในฐานะตัวแทนโจทก์มีอำนาจทำสัญญาขายที่พิพาทให้นายอุทัยสามีจำเลยได้ แต่โจทก์ก็มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับนางแอร่ม ทั้งนางแอร่มก็มิได้ถูกฟ้องในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ จำเลยและนายอุทัยสามีจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของนางแอร่มจึงไม่มีสิทธิ์บังคับคดีเหนือที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์และเป็นบุคคลนอกคดีได้ การที่จำเลยอ้างว่านายอุทัยสามีจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับนางแอร่มในฐานะตัวแทนของจำเลยด้วย และเงิน ๘๐๐,๐๐๐ บาท ที่นายอุทัยสามีจำเลยเอาไปซื้อที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างนายอุทัยสามีจำเลยกับจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิ์ยึดหน่วงที่พิพาทไว้ได้นั้นเป็นข้อต่อสู้ที่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share