คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1583-1584/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยต่างฟ้องกันเกี่ยวกับการเช่าโรงแรม ก่อนสืบพยานคู่ความแถลงตกลงกันเพื่อเลิกคดี เรื่องค่าเช่าที่ค้างนั้นตกลงกันว่า โจทก์ยอมชำระค่าเช่าที่ค้างมาทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งจะได้คิดตัวเลขกันต่อไปว่าค้างค่าเช่ามาเท่าใด ต่อมาจำเลยแถลงว่าโจทก์ยังค้างค่าเช่ารวม 10 เดือน โจทก์แถลงโต้แย้งว่าค้าง 4 เดือนเท่านั้น อีก 6 เดือนต่อจากนั้นโจทก์ถือว่าไม่ใช่ค่าเช่า เพราะการเช่าต้องมีใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมได้ แต่ทางการไม่ต่อใบอนุญาตให้ เพราะจำเลยไปร้องไม่ให้ต่อใบอนุญาต ดังนี้เมื่อโจทก์มิได้เถียงว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าสำหรับระยะเวลา 6 เดือน หลังนี้ เพราะว่าได้เลิกสัญญาเช่ากันแล้ว เมื่อการเช่ายังมีอยู่โจทก์ก็ต้องรับผิดในเรื่องค่าเช่า และที่โจทก์อ้างว่าจำเลยไปร้องขอให้ทางการไม่อนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมในที่ที่เช่านั้น เมื่อปรากฏแก่ศาลว่าโรงแรมยังดำเนินกิจการอยู่ในระหว่างนั้น โจทก์ยังคงได้รับประโยชน์จากการใช้ทรัพย์สินที่เช่า โจทก์จึงต้องชำระค่าเช่าตอบแทน ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้างอยู่ทั้ง 10 เดือน

ย่อยาว

คดีสองสำนวนศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน

สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ตกลงเช่าโรงแรมพัทยาบีชจากจำเลยโดยจำเลยมีหน้าที่ต้องส่งมอบโรงแรมดังกล่าวพร้อมด้วยเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย แต่เมื่อทำสัญญาเช่ากันแล้วปรากฏว่าเครื่องใช้ดังกล่าวยังไม่เรียบร้อยตามสัญญาโจทก์ที่ 1 เตือนให้จำเลยจัดการแก้ไขให้เรียบร้อยจำเลยไม่จัดการแก้ไขให้ ได้บอกให้โจทก์ที่ 1 จัดการเอง โดยจำเลยยอมเสียค่าใช้จ่ายให้ โจทก์ได้จัดการติดตั้งและซ่อมแซมเครื่องใช้ต่าง ๆ จึงขอพิพากษาให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยให้การสรุปความว่า จำเลยมิได้รับว่าจะจัดการแก้ไขเครื่องใช้หรือขอร้องให้โจทก์จ่ายเงินแก้ไขส่วนบกพร่องต่าง ๆ ดังโจทก์อ้างสัญญาเช่าไม่สมบูรณ์และเป็นสัญญาปลอม

สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันจะเข้าดำเนินกิจการโรงแรมพัทยาบีช เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2514 ได้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 มาติดต่อขอเช่าโรงแรมจากโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำสัญญาเช่ามีกำหนด 2 ปี อัตราค่าเช่า 3 เดือนแรกเดือนละ 50,000 บาท เดือนต่อไปเดือนละ 60,000 บาทจำเลยประพฤติผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระค่าเช่าจำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่า จำเลยคงค้างค่าเช่าเดือนกันยายนตุลาคม 2514 เป็นเงิน 100,000 บาท ค่าเช่าประจำเดือนกรกฎาคม 2515เป็นเงินตามเช็ค 30,000 บาท ค่าเช่าเดือนสิงหาคม กันยายน ตุลาคม 2515เดือนละ 60,000 บาท 3 เดือนเป็นเงิน 180,000 บาท รวมค้างค่าเช่าทั้งสิ้น310,000 บาท และในเดือนพฤศจิกายน 2515 จำเลยดำเนินกิจการในโรงแรมเป็นการละเมิด 15 วัน โจทก์คิดเป็นค่าเสียหายเท่าอัตราค่าเช่าเป็นเงิน 30,000บาท ขอศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากโรงแรมพัทยาบีชให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเช่าที่ค้าง 310,000 บาท และค่าเสียหายถึงวันฟ้อง 30,000 บาทและค่าเสียหายถัดจากวันฟ้องจนถึงวันจำเลยส่งมอบโรงแรมพัทยาบีชคืนโจทก์ในอัตราเดือนละ 60,000 บาท

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การสรุปความว่า การเช่าโรงแรมพัทยาบีชโจทก์รับรองจะจัดการซ่อมให้ใช้การได้ใน 7 วัน จำเลยที่ 1 หลงเชื่อจึงลงชื่อในสัญญาเช่าและจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้า 100,000 บาทให้โจทก์ ต่อมาโจทก์ไม่ยอมซ่อมจำเลยจึงได้ฟ้องโจทก์ตามสำนวนแรก จำเลยที่ 3 มิได้มีส่วนร่วมในการเช่าด้วยโจทก์ติดค้างค่าซ่อมและค่าเช่าเครื่องปรับอากาศเครื่องละ 400 บาทต่อเดือนโจทก์ยอมให้จำเลยหักเงินจำนวนนี้จากเงินค่าเช่าที่จำเลยต้องชำระให้โจทก์ได้จำเลยมิได้ผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นเรียงฝ่ายนางยวนใจ จันทรังษี กับพวกว่าโจทก์ เรียกฝ่ายนางสาวจงสวัสดิ์ ไกรฤกษ์ ว่าจำเลย

ก่อนสืบพยาน คู่ความแถลงตกลงกันเพื่อเลิกคดี ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 1 มิถุนายน 2516 คือ

1. จำเลยยอมให้โจทก์เช่าต่อไปอีก 2 ปี นับแต่วันสิ้นเดือนกรกฎาคม2516 คิดค่าเช่าเดือนละ 60,000 บาทตามเดิม โดยโจทก์ต้องชำระค่าเช่าทุกเดือนไม่ขาด

2. โจทก์ยอมชำระค่าเช่าที่ค้างจำเลยมาทั้งหมดโดยไม่มียกเว้น ซึ่งจะได้คิดตัวเลขกันต่อไปว่าค้างค่าเช่ามาเท่าใด ขอให้นัดพร้อมกันวันที่ 11 มิถุนายน 2516

วันที่ 11 มิถุนายน 2516 คู่ความแถลงต่อศาลดังปรากฏความในรายงานกระบวนพิจารณาคือ

1. คู่ความแถลงรับกันว่า โจทก์ค้างค่าเช่ามาก่อนเดือนกันยายน 2515เป็นเงิน 90,000 บาท

2. จำเลยแถลงว่า โจทก์ยังค้างค่าเช่าแต่เดือนกันยายน 2515 เรื่อยมาจนถึงเดือนมิถุนายน 2516 รวม 10 เดือน เดือนละ 60,000 บาท เป็นเงิน600,000 บาท ฝ่ายโจทก์โต้แย้งว่าได้ค้างค่าเช่าแต่เดือนกันยายน 2515 ถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2515 เท่านั้น ต่อจากนั้นมาโจทก์ถือว่าไม่ใช่ค่าเช่า เพราะการเช่าต้องมีใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมได้ แต่ทางการไม่ต่อใบอนุญาตให้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2516 เพราะเป็นความผิดของฝ่ายจำเลยที่ไปร้องต่อทางการไม่ให้ต่อใบอนุญาตให้ โจทก์จึงไม่ต้องชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนมกราคม 2516 จนถึงขณะนี้

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามที่ได้ตกลงกันในรายงานดังกล่าวแม้โจทก์จะเถียงตามข้อ 2 แต่รูปคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่าย แล้วพิพากษาให้เป็นไปตามข้อตกลง โดยจำเลย (นางสาวจงสวัสดิ์ ไกรฤกษ์ หรือ บริษัทโฮเต็ลพัทยาบีช จำกัด) ต้องให้โจทก์ (นางยวนใจ จันทรังษี หรือ นายบิลลี่ ดี วอเรน) เช่าโรงแรมพัทยาบีชต่ออีก 2 ปี นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2516 โดยคิดอัตราค่าเช่าเดือนละ 60,000 บาท และต้องชำระทุกเดือนไปไม่ขาด และให้โจทก์ชำระค่าที่ค้างจนถึงเดือนมิถุนายน 2516 ซึ่งเมื่อหักกลบลบหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์แล้ว คงเหลือเงินที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยจำนวน 332,500บาท โดยให้ชำระภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2516 และให้โจทก์ชำระค่าเช่าเดือนต่อ ๆ ไปเดือนละ 60,000 บาท จนหมดอายุการเช่า ส่วนนางใย จันทรังษีจำเลยที่ 3 นั้นให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะเกี่ยวกับค่าเช่าที่ค้างชำระว่า โจทก์ควรชำระค่าเช่าที่ค้างชำระแต่เดือนกันยายน 2515 ถึงเดือนธันวาคม 2515 เท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นให้โจทก์ชำระค่าเช่าต่อไปอีก 6 เดือน นับแต่เดือนมกราคม 2516 ถึงเดือนมิถุนายน 2516 เป็นการนอกฟ้องและนอกข้อตกลง

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับค่าเช่าที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยนับแต่เดือนกันยายน 2515 ว่าค้างกันเพียง 4 เดือนเป็นเงิน 240,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกาว่า โจทก์ต้องชำระค่าเช่าตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

วินิจฉัยว่า ศาลฎีกาเห็นว่าในระยะเวลาตั้งแต่เดือนมกราคม 2516 เรื่องมานั้นโจทก์มิได้เถียงว่า ที่โจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระค่าเช่า เพราะว่าได้เลิกสัญญาเช่ากันแล้ว เมื่อการเช่ายังมีอยู่ โจทก์ก็ต้องรับผิดในเรื่องค่าเช่า ส่วนข้อที่โจทก์อ้างว่า จำเลยได้ไปร้องขอให้ทางการไม่อนุญาตให้ดำเนินการกิจการโรงแรมในที่ ๆ เช่าซึ่งเป็นความผิดของจำเลยนั้น ปรากฏว่า เมื่อศาลชั้นต้นไปเผชิญสืบโรงแรมพิพาทเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2516 โรงแรมยังดำเนินกิจการอยู่ โจทก์ยังคงได้รับประโยชน์จากการใช้ทรัพย์สินที่เช่า จึงต้องชำระค่าเช่าตอบแทน

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share