คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1701/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137,173 แม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่จำเลยแจ้งนั้นเป็นเท็จ แต่เมื่อพิเคราะห์คำบรรยายฟ้องของโจทก์โดยตลอดแล้วมีความหมายอยู่ในตัวว่า เมื่อจำเลยแจ้งข้อความตามฟ้อง จำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่จำเลยแจ้งเป็นความเท็จ ก็ครบองค์ความผิดและสมบูรณ์แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๑๗ เวลากลางวัน จำเลยร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่า เมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๑๗ โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยได้ยักยอกรถจักรยานสองล้อของจำเลยไป ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงจำเลยอนุญาตให้โจทก์ยืมรถดังกล่าวไปใช้และนัดให้โจทก์ไปรับเงินค่าจ้างจากจำเลยในวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๑๗ พร้อมกับให้โจทก์นำรถดังกล่าวมาคืน แต่จำเลยกลั้นแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษโดยกล่างหาว่าโจทก์ทำรถดังกล่าวเสียหายและแจ้งความว่าโจทก์ยักยอกรถ ของจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗,๑๗๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗,๑๗๓ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๗๓ อันเป็นบทหนัก ตามมาตรา ๙๐ จำคุก ๖ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎมายอาญา มาตรา ๑๗๓ พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยศาลชั้นต้นรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่จำเลยแจ้งนั้นเป็นเท็จ เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์
ศาลฎีกาว่าวินิจฉัยว่า แม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่จำเลยแจ้งนั้นเป็นเท็จ แต่เมื่อพิเคราะห์คำบรรยายฟ้องของโจทก์โดยตลอดแล้วมีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิด เมื่อจำเลยแจ้งข้อความตามฟ้อง จำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่จำเลยแจ้งเป็นความเท็จ โจทก์จึงไม่ต้องบรรยายฟ้องอีกว่าจำเลยอยู่รู้แล้วว่าข้อความนั้นเป็นเท็จ ฟ้องโจทก์จึงครบองค์ความผิดและสมบูรณ์แล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share