แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจ.ยื่นคำร้องต่อจำเลยซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ขอทำนิติกรรมซื้อขายที่ดิน ดังนี้ เมื่อพฤติการณ์ที่จำเลยทราบมาโดยการสืบสวนและสอบสวนทำให้จำเลยเห็นว่ามีกรณีควรเชื่อได้ว่าโจทก์จะซื้อที่ดินเพื่อประโยชน์แก่คนต่างด้าว ก็ย่อมเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะดำเนินการต่อไปเพื่อขอคำสั่งรัฐมนตรีตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 74 วรรค 2 และเมื่อได้ความว่าจำเลยกำลังดำเนินการสอบสวนพยานหลักฐานเพื่อเสนอรัฐมนตรีอยู่ ก็เป็นเรื่องที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าว จึงย่อมไม่อาจบังคับจำเลยให้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามที่โจทก์ฟ้องบังคับได้ ศาลย่อมพิพากษายกฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนางเจริญยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าพนักงานที่ดิน ขอทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินโดยนางเจริญ ขายให้โจทก์ จำเลยที่ ๒ รับเรื่องไว้ต่อมาจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ ๒ มีหนังสือแจ้งต่อโจทก์ว่าไม่สามารถทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินดังกล่าวให้ได้ เพราะโจทก์เป็นภรรยาต่างด้าวซึ่งไม่เป็นความจริง ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีสิทธิถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับจดทะเบียนรับซื้อที่ดินระหว่างนางเจริญกับโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า มีหลักฐานน่าเชื่อถือว่าโจทก์มีสามีเป็นคนต่างด้าว อยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา โจทก์รับโอนที่ดินเพื่อประโยชน์แก่คนต่างด้าว หลีกเลี่ยงกฎหมายจำเลยจดทะเบียนให้ไม่ได้ กรณีเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่จะพิจารณาสั่งการต่อไป ซึ่งจำเลยดำเนินการอยู่แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีสามีเป็นคนต่างด้าว ไม่แน่นอนว่าโจทก์ซื้อที่ดินมิใช่เพื่อประโยชน์ของคนต่างด้าว กรณีเช่นนี้จำเลยจำต้องสวบสวนคู่กรณีตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๗๘ วรรคแรก แต่จำเลยทั้งสองไม่กระทำ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับได้ พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองทำการสอบสวนในเรื่องที่เกี่ยวกับโจทก์จะซื้อทีดินเพื่อประโยชน์แก่คนต่างด้าวหรือไม่ และดำเนินการต่อไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรับจดทะเบียนซื้อขายที่ดินซึ่งโจทก์รับซื้อจากนางเจริญ คนตรงนั้น เห็นว่าการรับจดทะเบียนซื้อขายที่ดินดังกล่าวมีข้อที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า ได้มีกรณีที่จำเลยทั้งสองควรเชื่อได้ว่า โจทก์จะซื้อที่ดินเพื่อประโยชน์แก่คนต่างด้าวอันจะเป็นเหตุขัดข้องที่จำเลยยังรับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้ไม่ได้หรือไม่ ปรากฏว่าเดิมจำเลยเคยรับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการรับซื้อฝากที่ดินให้โจทก์มาแล้ว โดยโจทก์ระบุในคำขอให้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการรับซื้อขายที่ดินให้โจทก์มาแล้ว โดยโจทก์ระบุในคำขอให้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมว่าเป็นหญิงหม้าย ต่อมามีบัตรสนเท่ห์กล่าวหาว่าโจทก์เป็นภรรยาของคนต่างด้าวอยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยา ประกอบกับที่จำเลยที่ ๒ ได้ทราบมาเองเมื่อโจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อที่ดินของนางเจริญ คนตรง รายนี้จำเลยที่ ๒ จึงบันทึกเสนอต่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้ทราบดังกล่าว จำเลยที่ ๑ จึงสั่งให้ปลัดอำเภอสืบสวนและจำเลยที่ ๑สอบสวนแล้วได้ความว่า โจทก์อยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยากับคนต่างด้าว มีบุตรด้วยกันยังไม่ได้เลิกร้างกัน จำเลยที่ ๑ จึงแจ้งเหตุขัดข้อง รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้โจทก์ไม่ได้ตามหมาย จ.๖๔ ระบุว่าเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๗๔ วรรค ๒ ซึ่งข้อความในมาตรา ๗๔ วรรค ๒ บัญญัติว่า “ถ้ามีกรณีเป็นควรเชื่อได้ว่าการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมนั้นจะเป็นการหลีกเลี่ยงตามกฎหมาย หรือเป็นที่ควรเชื่อได้ว่าบุคคลใดจะซื้อที่ดินเพื่อประโยชน์แก่คนต่าวด้าวให้ขอคำสั่งต่อรัฐมนตรี คำสั่งรัฐมนตรีเป็นที่สุด” พฤติการณ์ที่จำเลยที่ ๒ ทราบมาโดยการสืบสวนและสอบสวนเป็นทางราชการดังกล่าวน่าเชื่อถือว่า จำเลยทั้งสองเห็นว่า มีกรณีที่ควรเชื่อได้ว่าโจทก์จะซื้อที่ดินเพื่อประโยชน์แก่คนต่างด้าว ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะดำเนินการต่อไปเพื่อขอคำสั่งรัฐมนตรี ซึ่งจำเลยก็นำสืบฟังได้ว่ากำลังดำเนินการสอบสวนพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอต่อรัฐมนตรีอยู่ กรณีตามคดีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๗๔ แล้ว จึงยังไม่อาจบังคับจำเลยทั้งสองให้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามฟ้องได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นภรรยาคนต่างด้าว และไม่ได้อยู่ร่วมกับคนต่างด้าวตามที่โจทก์ฎีกา ฎีกาของโจทก์จึงเป็นอันตกไป
ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่บังคับให้จำเลยทั้องสองดำเนินการสอบสวนในเรื่องที่โจทก์จะซื้อที่ดินเพื่อประโยชน์แก่คนต่างด้าวหรือไม่แล้วดำเนินการต่อไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน เป็นการเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง และฎีกาข้ออื่นที่ขอให้บังคับตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อผลแห่งคดีจำเลยชนะแล้วก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นที่จำเลยฎีกาอีก
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น