คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1317/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องเรื่องละเมิดว่า จำเลยทั้งสองซึ่งไม่เคยเช่าห้องพิพาทของโจทก์มาก่อน ได้บังอาจร่วมกันบุกรุกเข้ามาในที่ดินชั้นล่างของซากห้องแถวซึ่งถูกไฟไหม้ของโจทก์เพื่อทำการค้า เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ กับมีคำขอบังคับจำเลย ดังนี้ ฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว หาเคลือบคลุมไม่
การพิจารณาว่าเป็นฎีกาต้องห้ามหรือไม่ ต้องพิจารณาตามกฎหมายซึ่งใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา จำเลยยื่นฎีกาในวันที่ 18 เมษายน 2518 อันเป็นเวลาที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 ใช้บังคับแล้วเมื่อเป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยในกรณีละเมิดออกจากที่ดินและห้องแถวของโจทก์ ซึ่งตามฟ้องเรียกค่าเสียหายเดือนละ 2,100 บาท จำเลยให้การว่าค่าเสียหายไม่เกินเดือนละ 30 บาท แสดงว่าในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท จำเลยจึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของห้องแถวไม้ ๑๒ ห้อง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินธรณีสงฆ์ โฉนดเลขที่ ๔๒๕๙ ริมถนนสามเสน อำเภอดุสิต กรุงเทพมหานคร เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๑๐ไฟไหม้ห้องแถว คงเหลือแต่ซาก ๔ ห้อง ผู้เช่าห้องทั้ง ๑๒ ห้องได้ออกจากห้องแถวไปหมด ประมาณเดือนเมษายน ๒๕๑๒ จำเลยทั้งสองจึงไม่เคยเช่าห้องแถวมาก่อนได้บุกรุกเข้ามาในที่ดินชั้นล่างในซากห้องแถวเลขที่ ๑๐๙๘ ของโจทก์เพื่อทำการค้า เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินและห้องเลขที่ ๑๐๙๘ และอนุญาตให้โจทก์รื้อห้องแถวพิพาทเมื่อพ้นระยะเวลาที่จำเลยจะต้องปฏิบัติตามคำบังคับของศาล ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายพิเศษแก่โจทก์คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๓,๗๗๐ บาท และค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องเดือนละ ๒,๑๐๐ บาทจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินและห้องพิพาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า วัดจันทร์สโมสรโดยพระครูวิบูลย์โชติวัฒน์ เจ้าอาวาสจะได้มอบอำนาจให้นายสวัสดิ์ รักวณิชย์ เป็นผู้ฟ้องคดีตามใบมอบอำนาจจริงหรือไม่ จำเลยไม่ทราบและไม่รับรอง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยทั้งสองเป็นผู้ครอบครองห้องพิพาทโดยนางเซ็งซิวแซ่กอ ผู้เช่าเดิมได้โอนสิทธิการเช่าให้จำเลยด้วยความรู้เห็นยินยอมจากโจทก์ จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ หากโจทก์จะเสียหาย ค่าเสียหายไม่เกินเดือนละ ๓๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคุลม และโจทก์มอบอำนาจให้นายสวัสดิ์ รักวณิชย์ ฟ้องคดีโดยชอบ จำเลยอยู่ในห้องพิพาทโดยละเมิด พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและห้องเลขที่๑๐๙๘ ตามฟ้อง ให้โจทก์มีสิทธิรื้อถอนห้องดังกล่าว และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๓๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๑๖ ไปจนกว่าจะออกจากสถานที่ดังกล่าว
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ปัญหาฟ้องว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาเรื่องละเมิดและได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า เมื่อประมาณเดือนเมษายน ๒๕๑๒ จำเลยทั้งสองซึ่งไม่เคยเช่าห้องพิพาทรายนี้มาก่อน ได้บังอาจร่วมบุกรุกเข้ามาในที่ดินชั้นล่างในซากห้องแถวเลขที่ ๑๐๙๘ ของโจทก์ เพื่อทำการค้า ทั้ง ๆ ที่ โจทก์ไม่อนุญาต เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ กับมีคำขอบังคับว่า ขอให้ศาลบังคับจำเลยอย่างไรฟ้องโจทก์หาเคลือบคลุมไม่
จำเลยฎีกาในประเด็นที่ว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายสวัสดิ์ รักวณิชย์ ฟ้องคดีโดยชอบหรือไม่ จำเลยอยู่ในห้องพิพาทโดยละเมิดหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาเรื่องละเมิด ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและห้องเลขที่ ๑๐๙๘ ซึ่งถูกไฟไหม้ แม้โจทก์จะไม่บรรยายฟ้องว่า ที่ดินและห้องแถวที่ถูกไฟไหม้นั้นในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าเดือนละเท่าใด แต่โจทก์ก็เรียกค่าเสียหายมาเดือนละ ๒,๑๐๐ บาท ซึ่งจำเลยให้การว่า ค่าเสียหายไม่เกินเดือนละ ๓๐บาท เห็นได้ว่าเป็นฟ้องขับไล่ออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท การที่จะพิจารณาว่าเป็นฎีกาต้องห้ามหรือไม่ ต้องพิจารณาตามกฎหมายซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะยื่นฎีกา จำเลยยื่นฎีกาว่าเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๑๘ อันเป็นเวลาที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๘ใช้บังคับแล้ว จำเลยจึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๖ พิพากษายืน

Share