คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1241/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น มาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2511 ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม ฉะนั้น คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งจึงต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ด้วย
คำร้องบรรยายว่าได้มีการให้และรับว่าจะให้ทรัพย์สินของผลประโยชน์แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในหลายท้องที่ เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้ได้รับเลือกตั้ง จัดยานพาหนะให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปกลับยังหน่วยเลือกตั้งโดยไม่เสียค่าโดยสารหรือค่าจ้าง และทำการโฆษณาภายในเขตปริมณฑลเลือกตั้ง โดยมิได้กล่าวให้ชัดแจ้งว่าทรัพย์สินและผลประโยชน์นั้นคืออะไร ได้ให้หรือรับว่าจะให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนประมาณเท่าใด ในหน่วยเลือกตั้งใด การจัดยานพาหนะให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและการโฆษณาภายในเขตปริมณฑลเลือกตั้งได้ กระทำที่หน่วยเลือกตั้งใด เป็นเหตุให้ผลการลงคะแนนเปลี่ยนแปลงเพียงใดหรือไม่จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม
คำร้องบรรยายว่ามีการใช้บัตรประจำตัวประชาชนและบัตรลงคะแนนปลอมใช้ใบแทนบัตรประจำตัวของผู้อื่น อ่านหมายเลขบัตรผิด นับจำนวนบัตรไม่ครบและไม่ตรงกับหมายเลขบัตร โดยมิได้บรรยายในคำร้องให้ชัดเจนว่าได้กระทำที่หน่วยเลือกตั้งใดเป็นจำนวนประมาณเท่าใด จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม
คำร้องบรรยายว่าเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งแนะนำและจูงใจผู้ลงคะแนนให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ตนสนับสนุน โดยมิได้บรรยายว่าเป็นเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งใด และแนะนำจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งหมายเลขอะไรจำนวนประมาณเท่าใด เป็นคำร้องเคลือบคลุม
คำร้องบรรยายว่า นายอำเภอได้แต่งตั้งผู้ไม่มีตัวตนเป็นกรรมการตรวจคะแนนประจำหน่วย โดยมิได้บรรยายว่าเป็นหน่วยตั้งใด และผู้ที่อ้างว่าไม่มีตัวตนนั้นเป็นเหตุให้กรรมการตรวจคะแนนมีจำนวนไม่ครบห้าคนดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสมาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2511 หรือไม่ จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม
คำร้องบรรยายว่าเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้งจัดให้บุคคลอื่นลงคะแนนเลือกตั้งแทนผู้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ร่วมมือกันเจ้าหน้าที่เก็บบัตรสำคัญที่ใช้เป็นหลักฐานในการลงคะแนนโดยนำมากรอกในแบบพิพม์ ทั้ง ๆ ที่ผู้มีสิทธิลงคะแนนมิได้ลงคะแนน ลงบัตรดังกล่าวโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งมิได้มาลงคะแนน มิได้ลงรายละเอียดของบัตรสำคัญของผู้ลงคะแนน เป็นการผิดระเบียบและไม่สุจริต คณะกรรมการตรวจคะแนนอ่านและนับคะแนนไม่ตรงต่อความจริง โดยอ่านคะแนนของผู้ร้องให้ผิดความจริง คะแนนที่คณะกรรมการตรวจคะแนนประกาศในหน่วยเลือกตั้งหลายหน่วยไม่ตรงกับจำนวนบัตรในหีบเลือกตั้ง และจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งที่คณะกรรมการตรวจคะแนนบันทึกไว้ ไม่ตรงกับจำนวนบัตรเลือกตั้งในหีบบัตรเลือกตั้ง โดยมิได้บรรยายข้อเท็จจริงให้แจ้งชัดว่าการกระทำดังกล่าวได้กระทำที่หน่วยเลือกตั้งใด และการกระทำที่อ้างว่ามิชอบนั้นเป็นเหตุให้คะแนนของผู้สิทธิรับเลือกตั้งผู้ใดผิดพลาดอย่างใด จำนวนประมาณเท่าใด และถึงแก่จะเป็นเหตุให้คะแนนของผู้รองเพิ่มมากน้อยขึ้นเพียงใด จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องที่ ๑ เป็นพรรคการเมือง ผู้ร้องที่ ๒ เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรในเขตจังหวัดกำแพงเพชร เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๑๙ ได้รับหมายเลข ๑ ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชรได้ประกาศผลการเลือกตั้ง ปรากฏว่าผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรคือพันตำรวจตรีอร่าม จงสวัสดิ์ นายปรีชา มุสิกุล และนายเสนาะ พึ่งเจียม ผู้ร้องที่ ๒ ได้ ๑๕,๑๘๓ คะแนน เป็นที่ ๔ จึงมิได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ร้องทั้งสองเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง พันตำรวจตรีอร่าม นายปรีชา และนายเสนาะ และหรือร่วมกับบุคคลอื่น ได้กระทำผิดพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสมาผู้แทนราษฎร เจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้งได้กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผิดต่อกฎทรวงมหาดไทย ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติข้างต้น อีกหลายท้องที่ และหลายประการ เป็นเหตุให้คะแนนของผู้ร้องที่ ๒ และผู้สมัครอื่นผิดพลาดจากความเป็นจริง การเลือกตั้งจึงเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และมีเหตุผลสมควรที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ จึงขอให้สั่งว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตจังหวัดกำแพงเพชรเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๑๙ เป็นโมฆะ
นายปรีชา พันตำรวจตรีอร่าม และนายเสนาะ คัดค้านว่า คำร้องของผู้ร้องเคลือบคลุม ฯลฯ
ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร คัดค้านว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ได้กระทำไปโดยชอบ คำร้องของผู้ร้องไม่เป็นความจริง และเคลือบคลุม ฯลฯ
ศาลชั้นต้นงดการไต่สวนคำร้อง ได้ทำความเห็นและส่งสำนวนไปยังศาลฎีกาว่า คำร้องของผู้ร้องเป็นคำร้องเคลือบคลุม ควรยกคำร้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น มาตรา ๖๓ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๑๑ ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมด้วย และมาตรา ๑๗๒ วรรค ๒ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติว่า “คำฟ้องต้องแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น” มาตรา ๑(๓) แห่งประมวลกฎหมายเดียวกันบัญญัติว่า “คำฟ้องหมายความว่า กระบวนพิจารณาใด ๆ ที่โจทก์ได้เสนอข้อหาต่อศาล ฯลฯ ไม่ว่าจะได้เสนอในขณะที่เริ่มคดี โดยคำฟ้องหรือคำร้องขอ ฯลฯ” ฉะนั้น คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งจึงต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ ด้วย
คำร้องของผู้ร้องซึ่งคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตจังหวัดกำแพงเพชรที่ได้ประกาศผลเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๑๙ ว่าเป็นไปโดยมิชอบนั้น ได้อ้างเหตุคัดค้าน ๒ ประการคือ
๑. พันตำรวจตรีอร่าม จงสวัสดิ์ นายปรีชา มุสิกุล และนายเสนาะ พึ่งเจียม ได้กระทำผิดพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยกระทำการตามคำร้องขอ ก. ถึง ข้อ ง.
๒. เจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้งในเขตจังหวัดกำแพงเพชรได้กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกฎกระทรวงมหาดไทย ที่ออกตามความในพระราชบัญญัตินี้ โดยกระทำการตามที่กล่าวไว้ในคำร้องซึ่งเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้ง ข้อ ก. ถึง ข้อ ญ.
ศาลฎีกาเห็นว่า คำร้องของผู้ร้องในเหตุแรกข้างต้นตั้งแต่ ข้อ ก. ถึง ข้อ ง. นั้น ได้อ้างเพียงเหตุตามกฎหมายเท่านั้นว่าได้มีการให้ทรัพย์สินและผลประโยชน์ รับว่าจะให้ทรพัย์สินและผลประโยชน์แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในหลายท้องที่เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนแก่บุคคลทั้งสาม ได้จัดยานพาหนะให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปกลับยังหน่วยเลือกตั้งโดยไม่เสียค่าโดยสารหรือค่าจ้าง ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แก่บุคคลทั้งสาม ทำการโฆษณาภายในเขตปริมณฑลเลือกตั้ง ผู้ร้อง มิได้กล่าวให้ชัดแจ้งว่าทรัพย์สินและผลประโยชน์นั้นคืออะไร ได้ให้หรือรับว่าจะให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนประมาณเท่าใด ในหน่วยเลือกตั้งใด การจัดยานพาหนะให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้กระทำที่หน่วยเลือกตั้งใด เป็นเหตุให้การลงคะแนนเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่อย่างใด การโฆษณาภายในเขตปริมณฑลเลือกตั้งได้ กระทำที่หน่วยเลือกตั้งใด เป็นเหตุให้ผลการลงคะแนนเปลี่ยนแปลงเพียงใดหรือไม่ เพราะปรากฏตามคำร้องของผู้ร้องเองว่า ผู้ร้องที่ ๒ ได้คะแนนน้อยกว่านายเสนาะ พึ่งเจียม ผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกำแพงเพชรคนสุดท้ายถึง ๕,๒๖๑ คะแนน เมื่อคำร้องของผู้ร้องมิได้แสงโดยแจ้งชัดซึ่งข้อเท็จจริงอันเป็นสภาพแห่งข้อหาที่ว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาพผู้แทนราษฎรเขตเลือกตั้งจังหวัดกำแพงเพชรเป็นไปโดยมิชอบอันสมควรจะให้มีการเลือกตั้งใหม่ อย่างใด เพียงใดหรือไม่ ดังได้วินิจฉัยมาแล้ว คำร้องของผู้ร้องเหตุแรกนี้จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม เพราะมิได้เป็นไปตามบัญญัติไว้ในประมาวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๒
สำหรับคำร้องของผู้รองในเหตุที่ ๒ ข้างต้น ตั้งแต่ข้อ ก. ถึงข้อ ญ. นั้น ผู้ร้องมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งข้อเท็จจริงอันเป็นสภาพแห่งข้อหาของผู้ร้องอ้างว่าการเลือกตั้งดังกล่าวแล้วเป็นไปโดยมิชอบ อันสมควรจะให้มีการเลือกตั้งใหม่อย่างใด เพียงใดหรือไม่เช่นกัน เพราะผู้ร้องมิได้บรรยายให้ชัดเจนว่ามีการใช้บัตรประจำตัวประชาชนและบัตรลงคะแนนปลอม การใช้ใบแทนบัตรประจำตัวของผู้อื่น การอ่านหมายเลขบัตรผิด การนับจำนวนบัตรไม่ครบและไม่ตรงกับหมายเลขบัตร เป็นจำนวนประมาณเท่าใด เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งแนะนำและจูงใจผู้ลงคะแนนให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ตนสนับสนุนนั้น เป็นเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งใด และแนะนำจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเลขอะไรจำนวนประมาณเท่าใด อ้างว่า นายอำเภอขาณุวรลักษบุรี ได้แต่งตั้งผู้ไม่มีตัวตนเป็นกรรมการตรวจคะแนนประจำหน่วย ก็มิได้บรรยายให้ปรากฏว่า เป็นหน่วยเลือกตั้งใด และผู้ที่อ้างว่าไม่มีตัวตนนั้น เป็นเหตุให้กรรมการตรวจคะแนนมีจำนวนไม่ครบห้าคนดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสมาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๑๑ หรือไม่ เพราะถ้ามีกรรมการตรวจคะแนนที่มีตัวตนครบห้าคน ก็ใช้ได้ตามมาตรา ๔๐ นั้นแล้ว ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้งจัดให้บุคคลอื่นลงคะแนนเลือกตั้งแทนผู้ถึงแก่กรรมไปแล้วก็ดี ร่วมมือกันเจ้าหน้าที่เก็บบัตรสำคัญที่ใช้เป็นหลักฐานในการลงคะแนนโดยนำมากรอกในแบบพิพม์ ทั้ง ๆ ที่ผู้มีสิทธิลงคะแนนมิได้ลงคะแนนก็ดี ลงบัตรดังกล่าวโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งมิได้มาลงคะแนนก็ดี มิได้ลงรายละเอียดของบัตรสำคัญของผู้ลงคะแนน เป็นการผิดระเบียบและไม่สุจริตก็ดี คณะกรรมการตรวจคะแนนอ่านและนับคะแนนไม่ตรงต่อความจริง โดยอ่านคะแนนของผู้ร้องให้ผิดความจริง โดยอ่านของผู้ร้องให้ผิดความจริง ทั้งคะแนนที่คณะกรรมการตรวจคะแนนประกาศในหน่วยเลือกตั้งหลายหน่วยไม่ตรงกับจำนวนบัตรในหีบเลือกตั้งก็ดี และจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งที่คณะกรรมการตรวจคะแนนบันทึกไว้ ไม่ตรงกับจำนวนบัตรเลือกตั้งในหีบบัตรเลือกตั้งก็ดี ล้วนแต่ได้บรรยายข้อเท็จจริงให้แจ้งชัดว่าการกระทำดังกล่าวได้กระทำที่หน่วยเลือกตั้งใด และการกระทำที่อ้างว่ามิชอบนั้นเป็นเหตุให้คะแนนของผู้สิทธิรับเลือกตั้งผู้ใดผิดพลาดอย่างใด จำนวนประมาณเท่าใด และถึงแก่จะเป็นเหตุให้คะแนนของผู้ร้องที่ ๒ เพิ่มมากน้อยขึ้นเพียงใด แม้ตอนท้ายของคำร้องจะกล่าวว่าเหตุเกิดที่อำเภอและเขตตำบลบางแห่ง ก็ตาม แต่ก็มิได้ระบุว่า เป็นหน่วยเลือกตั้งใด ในเขตอำเภอและเขตตำบลนั้น ๆ การบรรยายดังกล่าวจึงไม่เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของผู้ร้อง ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๗๒ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นคำร้องเคลือบคลุม
ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง

Share