คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 986/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในขณะที่ ค. เจ้ามรดกยังมีชีวิตอยู่ได้บริจาคเงินเพื่อสมทบทุนมูลนิธิ จ. และต่อมาได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทถวายเป็นมูลนิธิ จ. ปรากฏว่าขณะที่ ค. ถึงแก่กรรม มูลนิธิ จ. ยังมิได้ก่อตั้งขึ้นเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย แต่กำลังดำเนินการอยู่ ดังนี้ ถือได้ว่า ค. ทำพินัยกรรมสั่งจัดสรรที่ดินพิพาทเพื่อจัดตั้งมูลนิธิ จ. ไว้แล้ว เพียงแต่มูลนิธิยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายจึงได้รับโอนที่ดินตามพินัยกรรมทางทะเบียนไม่ได้เท่านั้น แม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายปี ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ค. จะต้องดำเนินการให้มีผลทางกฎหมายในการรับโอนที่ดินไปตามเจตนาของ ค. เหตุที่มูลนิธิ จ. ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจนถึงขณะที่โจทก์ฟ้องนั้น ยังถือไม่ได้ว่าพินัยกรรมของ ค. ไร้ผล เพราะเหตุไม่มีผู้รับทรัพย์ ผู้จัดการมรดกหรือทายาทไม่มีสิทธิและอำนาจที่จะตกลงกันเอาที่ดินพิพาทไปโอนให้มูลนิธิอื่น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวคำชอย สุจินดา ก่อนนางสาวคำชอยถึงแก่กรรมได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินถวายเป็นมูลนิธิของวัดเจดีย์หลวง และวัดพระสิงห์ แต่ปรากฏว่ามูลนิธิของวัดเจดีย์หลวงยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เจ้าพนักงานที่ดินจำเลยจึงไม่ยอมจดทะเบียนโอนมรดกให้ จนถึงบัดนี้เป็นเวลา ๗ ปีเศษแล้ว จึงถือว่าวัดเจดีย์.หลวงไม่มีมูลนิธิขณะเจ้ามรดกถึงแก่กรรม และไม่มีผู้รับมรดกตามพินัยกรรม พินัยกรรมจึงเป็นอันไร้ผล ทรัพย์มรดกดังกล่าวกึ่งหนึ่งจึงตกได้แก่ทายาทโดยธรรมซึ่งตกลงกันให้ยกที่ดินดังกล่าวกึ่งหนึ่งแก่มูลนิธิของวัดฟ้าฮ่าม แต่จำเลยไม่ยอมจดทะเบียนให้ จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า แม้พินัยกรรมจะเป็นการยกทรัพย์ให้มูลนิธิเป็นการล่วงหน้าก็ตาม แต่เมื่อมูลนิธิได้ก่อตั้งขึ้นภายหลัง ทรัพย์มรดกก็ตกเป็นของมูลนิธิ ข้อกำหนดในพินัยกรรมมีผลใช้บังคับได้
ในวันชี้สองสถานคู่ความรับกันว่า ขณะเจ้ามรดกถึงแก่กรรม มูลนิธิวัดเจดีย์หลวงยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้น และคู่ความท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยโดยไม่สืบพยานว่าข้อกำหนดในพินัยกรรมที่ว่าเจ้ามรดกถวายที่ดินให้เป็นมูลนิธิวัดเจดีย์หลวงจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ หากสมบูรณ์โจทก์ยอมแพ้ หากไม่สมบูรณ์ก็ขอให้ศาลวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์จะยกทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่มูลนิธิวัดฟ้าฮ่ามได้หรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อกำหนดในพินัยกรรมไม่สิ้นผล ใช้บังคับได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในขณะที่นางสาวคำชวยเจ้ามรดกยังมีชีวิตอยู่นั้น นางสาวคำชวยได้บริจาคเงินให้เพื่อสมทบทุนเจดีย์หลวงมูลนิธิ ดังปรากฏตามภาพถ่ายใบรับเงินท้ายฟ้องโจทก์ และต่อมาได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินถวายเป็นมูลนิธิของวัดเจดีย์หลวง ถือได้ว่านางสาวคำชวยได้ทำพินัยกรรมสั่งจัดสรรที่ดินพิพาทเพื่อจัดตั้งเจดีย์หลวงมูลนิธิไว้แล้ว เพียงแต่มูลนิธิยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย จึงรับโอนที่ดินตามพินัยกรรมทางทะเบียนไม่ได้เท่านั้น เช่นนี้ แม้จะเป็นเวลาล่วงเลยมานานหลายปี ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกจะต้องดำเนินการให้มีผลทางกฎหมายในการรับโอนที่ดินไปตามเจตนาของนางสาวคำชวยเจ้ามรดก เหตุที่เจดีย์หลวงมูลนิธิยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจนถึงขณะที่โจทก์ฟ้อง ยังถือไม่ได้ว่าพินัยกรรมของนางสาวคำชวยไร้ผลเพราะเหตุไม่มีผู้รับทรัพย์ดังข้ออ้างของโจทก์ได้ โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกหรือทายาทจึงไม่มีสิทธิและอำนาจที่จะตกลงกันเอาที่ดินตามฟ้องไปโอนให้ผู้อื่น ที่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมจัดการจดทะเบียนโอนที่ดินตามพินัยกรรมให้แก่ผู้อื่น จึงชอบแล้ว เมื่อข้อกำหนดตามพินัยกรรมของนางสาวคำชวยมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายดังกล่าว โจทก์จึงแพ้คดีตามคำท้าดังข้อวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสอง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share