คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 524/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนจำเลยฟ้องมารดาโจทก์ว่า บิดาจำเลยกู้เงินมารดาโจทก์ แล้วมอบที่นาพิพาทให้มารดาโจทก์ยึดถือทำกินต่างดอกเบี้ย บิดาจำเลยตายแล้ว จำเลยเป็นผู้รับมรดก จึงขอให้มารดาโจทก์คืนที่นาพิพาทแก่จำเลย ศาลพิพากษาถึงที่สุดฟังตามที่มารดาโจทก์ต่อสู้คดีว่า บิดาจำเลยขายที่นาพิพาทให้มารดาโจทก์ จำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่โดยอาศัยสิทธิมารดาโจทก์ พิพากษายกฟ้อง ปรากฏว่าระหว่างพิจารณาคดีก่อน มารดาโจทก์ยกที่นาพิพาทให้โจทก์ และเมื่อคดีก่อนถึงที่สุดแล้วโจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ อ้างว่าจำเลยอาศัย จำเลยต่อสู้ว่า การที่จำเลยฟ้องมารดาโจทก์ในคดีก่อนเป็นการแสดงเจตนาแย่งการครอบครอง โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อเกิน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง ไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้เมื่อคำพิพากษาคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดแล้วฟังว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่โดยอาศัยสิทธิมารดาโจทก์ จำเลยจะโต้เถียงฝ่าฝืนคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วว่าจำเลยได้แสดงเจตนาแย่งการครอบครองที่พิพาทอีกไม่ได้ โจทก์ได้รับโอนที่นาพิพาทมา ถือได้ว่าได้รับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับที่พิพาทด้วย การที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อมาต้องถือว่าจำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิของโจทก์ แม้นานเท่าใดก็หาเป็นการแย่งการครอบครองไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มารดาโจทก์ได้ซื้อที่นาเนื้อที่ประมาณ ๒๔ ไร่เศษ จากบิดาจำเลย และได้โอนให้บุคคลอื่นไปบ้างแล้ว คงเหลืออยู่บางส่วน ที่นาที่เหลือส่วนหนึ่งให้จำเลยและบริวารเช่า ต่อมามารดาโจทก์ได้ยกที่นาให้จำเลยและบริวารเช่าให้โจทก์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๑๓ เป็นต้นมาจำเลยไม่ชำระค่าเช่าและได้ฟ้องมารดาโจทก์ต่อศาลจังหวัดลพบุรี ผลที่สุดศาลพิพากษายกฟ้องตามคดีดำที่ ๑๕๒/๒๕๑๓ คดีแดงที่ ๓๗๕/๒๕๑๓ โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยและบริวารเช่าต่อไป ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและมอบที่นาให้โจทก์ ให้จำเลยเสียค่าเช่าปีละ ๖๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
จำเลยให้การและเพิ่มเติมคำให้การว่าจำเลยไม่ได้เช่าที่นาจากโจทก์หรือมารดาโจทก์ โจทก์จะเป็นเจ้าของที่นาหรือไม่จำเลยไม่ทราบ ที่นาที่จำเลยอาศัยอยู่เดิมเป็นของมารดาจำเลย ต่อมาที่นาดังกล่าวเป็นมรดกตกได้แก่จำเลย จำเลยได้ครอบครองมา ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาทและคืนที่พิพาทให้โจทก์ในสภาพปกติ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืน
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ จำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้องนางสีทา มารดาโจทก์ว่า นายมาบิดาจำเลยได้กู้เงินนางสีทามารดาโจทก์จำนวน ๓๐๐ บาท แล้วมอบที่นาเนื้อที่ ๒๔ ไร่เศษให้นางสีทามารดาโจทก์ยึดถือทำกินแทนดอกเบี้ย ต่อมานายมาบิดาจำเลยตาย จำเลยเป็นผู้รับมรดกจึงขอไถ่ที่นาคืน นางสีทามารดาโจทก์ไม่ยอม จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับ นางสีทามารดาโจทก์ให้การว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ นายมาบิดาจำเลยได้ขายที่นาดังกล่าวให้นางสีทามารดาโจทก์ มิใช่เป็นการกู้เงินและมอบที่นาให้ทำกินต่างดอกเบี้ย ต่อมานางสีทามารดาโจทก์ได้ขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วขายให้บุคคลอื่นไปบางส่วน คงเหลือประมาณ ๑๐๐ ตารางวา จึงให้จำเลยปลูกเรือนอาศัยอยู่ ศาลฟังตามที่นางสีทามารดาโจทก์ต่อสู้ พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๗๕/๒๕๑๓ ของศาลจังหวัดลพบุรี ต่อมานางสีทามารดาโจทก์ยกที่นาส่วนที่ยังเหลือนี้ให้โจทก์แล้วนางสีทามารดาโจทก์ตาย โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ซึ่งที่พิพาทในคดีนี้เป็นที่แปลงเดียวกันกับที่พิพาทในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๗๕/๒๕๑๓
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยฟ้องมารดาโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๗๕/๒๕๑๓ ว่าที่พิพาทซึ่งเป็นที่มือเปล่า จำเลยครอบครองอยู่เป็นของจำเลย ก็เท่ากับจำเลยได้แสดงเจตนาแย่งการครอบครองที่พิพาท แม้มารดาโจทก์ได้ยกที่พิพาทให้โจทก์ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ซึ่งคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นก็เท่ากับโจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครองแล้วเช่นกัน โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อเกิน ๑ ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๗๕/๒๕๑๓ ฟังว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่โดยอาศัยสิทธิของนางสีทามารดาโจทก์ จำเลยจะโต้เถียงฝ่าฝืนคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วว่าจำเลยได้แสดงเจตนาแย่งการครอบครองที่พิพาทอีกไม่ได้ โจทก์ได้รับโอนที่พิพาทมาถือได้ว่าได้รับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับที่พิพาทด้วย การที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อมาต้องถือว่าจำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิของโจทก์ แม้นานเท่าใดก็หาเป็นการแย่งการครอบครองไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share