แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 1 ในฐานะส่วนตัวและฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ที่ 2 กับ ส. และพวกทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงกันจะก่อตั้งบริษัทขึ้นใหม่อีกบริษัทหนึ่ง เพื่อประกอบกิจการเดินรถแทนบริษัทโจทก์ที่ 2 ต่อมา ส. กับพวกได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นใหม่ เป็นบริษัทจำเลยโดยโจทก์มิได้ร่วมก่อตั้งด้วย ดังนี้ บริษัทจำเลยเป็นนิติบุคคลที่ก่อตั้งขึ้นตามกฎหมาย มีสิทธิและหน้าที่ของตนเองต่างหากจากผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัท และมิได้เป็นคู่สัญญาประนีประนอมยอมความฉบับดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบริษัทจำเลยเพื่อขอให้เลิกบริษัทโดยอาศัยข้อตกลงในสัญญาฉบับนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ ในฐานะส่วนตัวและฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัท โจทก์ที่ ๒ กับเจ้าของรถร่วมสายนครนายก คลอง ๑๔ ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นอีกบริษัทหนึ่งเพื่อประกอบการเดินรถแทนบริษัทโจทก์ ที่ ๒ ต่อมานายสานิตย์ ลัคนาทิน กับพวกซึ่งได้ลงนามในข้อตกลงดังกล่าวได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นใหม่เป็นบริษัทจำเลยโดยไม่ให้โจทก์ทั้งสองร่วมก่อตั้งด้วย การจดทะเบียนบริษัทจำเลยจึงเป็นการฝ่าฝืนสัญญาประนีประนอม ทั้งเป็นการทำผิดในการประชุมตั้งบริษัท ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษายกเลิกบริษัทจำเลย
จำเลยให้การว่า บริษัทจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้กับโจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงโดยไม่นำรถไปดำเนินการให้ถูกต้อง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลงหาใช่เป็นการประชุมตั้งบริษัทตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๐๗, ๑๑๐๘ ไม่ และไม่เป็นการกระทำผิดในการประชุมตั้งบริษัทอันจะเป็นเหตุให้ศาลสั่งเลิกบริษัทได้ตามมาตรา ๑๓๓๗ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บริษัทจำเลยเป็นนิติบุคคล ที่ก่อตั้งขึ้นตามกฎหมาย มีสิทธิและหน้าที่ของตนเองต่างหากจากผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัท ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าบริษัทจำเลยไม่ได้เป็นคู่สัญญาฉบับลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ กับโจทก์ที่ ๑ ด้วย ฉะนั้นโจทก์ที่ ๑ จึงไม่มีอำนาจฟ้องบริษัทจำเลยเพื่อขอให้เลิกบริษัทโดยอาศัยข้อตกลงในสัญญาฉบับลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ นั้น ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องนี้แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นไว้ในคำแก้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพราะเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน