คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 โอนขายรถยนต์ให้โจทก์แล้วทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าวจากโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยทั้งสองนำรถยนต์ไปมอบให้จำเลยที่ 3 ยึดไว้เป็นประกันการชำระหนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าซื้อจนโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ดังนี้ แม้จำเลยที่ 3 จะเชื่อโดยสุจริตว่า รถยนต์เป็นของจำเลยที่ 1 แต่เมื่อโจทก์มิได้ประมาทหรือเชิดให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทน โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ ย่อมมีสิทธิติดตามเอารถคืนได้ จำเลยทั้งสามต้องร่วมรับผิดในการส่งมอบรถคืนและใช้ค่าเสียหายให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด คอร์ติน่า สีเหลืองไปจากโจทก์ในราคา ๑๐๙,๒๓๐ บาท โดยตกลงจะชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ ๓๐ งวด งวดละเดือน ๆ ละ ๓,๖๔๔ บาท ตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๑๕ เป็นต้นไป โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ปรากฏรายละเอียดของสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันท้ายฟ้อง นับแต่ทำสัญญาเช่าซื้อแล้ว จำเลยที่ ๑ ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เพียงงวดเดียว และผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตลอดมา โจทก์ได้ทวงถามและบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ และให้จำเลยคืนรถยนต์ แต่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เพิกเฉย ต่อมาโจทก์สืบทราบว่าจำเลยที่ ๒ ได้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวของโจทก์ไม่โดยไม่มีสิทธิ โจทก์ได้ติดต่อทวงถาม แต่จำเลยที่ ๓ ก็ไม่ยอมคืนรถให้โจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย เพราะอาจนำรถมาให้เช่าได้วันละไม่น้อยกว่า ๒๐๐ บาท จึงขอให้จำเลยทั้งสามคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อไปแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา ๑๐๙,๓๒๐ บาทแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย คือค่าใช้ทรัพย์ตลอดเวลาที่ครอบครองทรัพย์ของโจทก์อยู่ วันละ ๒๐๐ บาท เป็นเงิน ๑๙,๘๐๐ บาท และค่าเสียหายวันละ ๒๐๐ บาท ตั้งแต่วันฟ้องตลอดไปจนกว่าจะคืนรถหรือใช้ราคาแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยที่ ๓ ยอมรับว่ารถยนต์ตามฟ้องอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๓ จริง โดยจำเลยที่ ๑ ได้นำรถมาให้โจทก์ (ที่ถูกเป็นจำเลยที่ ๓) ยึดไว้เป็นหลักประกันหนี้ค่าเครื่องปรับอากาศที่จำเลยที่ ๑ ค้างชำระแก่จำเลยที่ ๓ เป็นเงิน ๑๖,๑๙๕ บาท การครอบครองของจำเลยที่ ๓ จึงเป็นการครอบครองโดยสุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๓ คืนรถยนต์และเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ร่วมกันคืนรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด คอร์ติน่า สีเหลืองแก่โจทก์ ถ้าคืนไม่ได้ให้ชำระราคา ๑๐๙,๒๓๐ บาท และให้ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้ยกฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๓
โจทก์อุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันส่งมอบรถคืนโจทก์และให้ใช้ค่าเสียหายตามที่โจทก์ฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ให้จำเลยที่ ๓ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ส่งมอบรถยนต์พิพาทคืน ถ้าคืนไม่ได้ให้ชำระราคา ๑๐๙,๒๓๐ บาท ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายในอัตราวันละ ๑๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ถึงวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ ให้โจทก์ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายในอัตราเดียวกันนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ จนกว่าจะส่งมอบรถคืนหรือใช้ราคาแทนแก่โจทก์ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ไปจากโจทก์ มีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ปรากฏตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน เอกสารหมาย จ.๓ มีกำหนดชำระ ๓๐ งวด จำเลยชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เพียงงวดเดียวแล้วไม่ชำระอีก โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและให้จำเลยที่ ๑ ส่งมอบรถยนต์คืนและชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยที่ ๑ ไม่คืนให้ ปรากฏว่ารถยนต์ไปอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๑ นำรถยนต์พิพาทให้จำเลยที่ ๓ ยึดไว้เป็นประกันการชำระหนี้ค่าเครื่องปรับอากาศ และจำเลยที่ ๓ รับรถนั้นไว้โดยสุจริต โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ ๒ นำรถยนต์พิพาทมาให้จำเลยที่ ๓ ยึดถือไว้เป็นหลักประกันมูลหนี้ค่าเครื่องปรับอากาศที่จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้จำเลยที่ ๓ นั้น เมื่อรถยนต์ที่พิพาทมิใช่เป็นของจำเลยที่ ๑ เพราะยังอยู่ในระหว่างเช่าซื้อไปจากโจทก์ การที่จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ เอารถยนต์ของโจทก์ไปมอบให้จำเลยที่ ๓ ยึดไว้เป็นประกันมูลหนี้ของตนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์
ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รู้เห็นด้วยการกระทำของจำเลยดังกล่าว การจำนำนั้นจึงไม่ผูกพันโจทก์ผู้เป็นเจ้าของ การที่รถยนต์พิพาทมีป้ายวงกลมมีชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของปิดอยู่ ทำให้จำเลยที่ ๓ เชื่อโดยสุจริตว่ารถยนต์เป็นของจำเลยที่ ๑ นั้น เมื่อโจทก์รับโอนทะเบียนรถยนต์ ทางการต้องออกป้ายวงกลมให้ใหม่ โจทก์ก็นำสืบว่า เมื่อทางการออกป้ายวงกลมมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรถ โจทก์ก็ให้จำเลยที่ ๒ นำไปติดหน้ารถแล้ว การที่จำเลยที่ ๒ ไม่นำป้ายวงกลมมีชื่อโจทก์ไปติด จะถือเป็นความผิดหรือประมาทเลินเล่อของโจทก์ยังไม่ได้ โจทก์ไม่จำเป็นจะต้องติดตามดูแลการติดป้ายวงกลม อนึ่ง ตามพฤติการณ์ในคดี จะถือว่าโจทก์แสดงออกหรือเชิดให้จำเลยเป็นตัวแทนโจทก์ก็ไม่ได้ เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ โจทก์จึงมีสิทธิติดตามเอารถยนต์ของตนคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖ จำเลยที่ ๓ จะปฏิเสธไม่ยอมคืนหาได้ไม่ เมื่อไม่คืนจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ ๓ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share