คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 462/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีโจทก์เอาที่ดินและห้องแถวซึ่งเป็นสินสมรสไปจดทะเบียนให้แก่บุตรซึ่งเกิดแต่ภริยาอื่นโดยเสน่หา และโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์นั้นมาเป็นของตนและกองมรดกของสามีได้ ส่วนการเพิกถอนการให้ก็ต้องเพิกถอนทั้งหมด จะเพิกถอนเฉพาะส่วนหาได้ไม่
(อ้างฎีกาที่ 872/2508)
การใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์ของตนเป็นคดีไม่มีอายุความฟ้องร้อง แม้จะเป็นเวลาช้านานสักปานใดและทราบเรื่องเมื่อใด เจ้าของยังมีสิทธิติดตามทรัพย์นั้นได้เสมอ เว้นแต่กรณีจะต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382, 1383 เจ้าของจึงจะหมดสิทธิติดตามกรณีนี้จะนำเรื่องอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 มาปรับใช้หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นคู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโปเตี้ยน กาญจนบุษย์ และอยู่กินด้วยกันตลอดมาจนกระทั่งนายโปเตี้ยน กาญจนบุษย์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๑๕ ระหว่างอยู่กินด้วยกันเกิดสมรสคือที่โฉนดเลขที่ ๔๒๗ พร้อมด้วยห้องแถวสองห้องเมื่อนายโปเตี้ยน กาญจนบุษย์ถึงแก่กรรมแล้ว ทรัพย์รายนี้ชอบที่จะตกได้แก่โจทก์ ๔ ใน ๖ ส่วน แต่ปรากฏว่านายโปเตี้ยน กาญจนบุษย์ได้นำที่ดินและห้องแถวดังกล่าวไปจดทะเบียนยกให้จำเลยโดยเสน่หาตั้งแต่วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๐๕ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ โจทก์เพิ่งทราบความจริงเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๕ จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้เพิกถอนนิติกรรมการยกให้ฉบับเลขที่ ๓๐/๑๑๙๓ ลงวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๕ ระหว่างนายโปเตี้ยน กาญจนบุษย์ ผู้ให้นางประไพ ศิริชนะ ผู้รับให้ ให้จำเลยแบ่งทรัพย์พิพาทให้โจทก์ ๔ ใน ๖ ส่วน ราคา ๔๐,๐๐๐ บาท ถ้าจำเลยไม่ยอมแบ่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ถ้าไม่อาจแบ่งได้ให้เอาทรัพย์พิพาทออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้โจทก์ ๕ ใน ๖ ส่วน
จำเลยให้การว่า โจทก์จะได้จดทะเบียนสมรสกับนายโปเตี้ยน กาญจนบุษย์ หรือไม่จำเลยไม่รับรอง นายโปเตี้ยนบิดาจำเลยจดทะเบียนยกทรัพย์รายพิพาทให้จำเลยก็โดยจำเลย ได้ชำระหนี้แทนบิดาและส่งเสียเลี้ยงดูบิดาจนถึงแก่กรรมตลอดจนจัดการศพเสร็จ เป็นการโอนโดยมีค่าตอบแทนนายโปเตี้ยน กาญจนบุษย์ โอนทรัพย์รายนี้ให้แก่จำเลยตั้งแต่วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๐๕ การที่โจทก์และผู้โอนอยู่ต่อมาโดยความยินยอมของจำเลยให้ครอบครองแทนจำเลย หากฟังว่าโจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโปเตี้ยน กาญจนบุษย์ โจทก์ก็จะได้ส่วนแบ่งในสินสมรสเพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น ส่วนอีกกึ่งหนึ่งย่อมตกเป็นของจำเลยเพราะเป็นการยกกรรมสิทธิ์ในส่วนของเจ้ามรดกให้แก่จำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งอนึ่งโจทก์ฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมอันเป็นโมฆียะกรรม แต่โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน ๑ ปี นับแต่วันรู้หรืออาจให้สัตยาบันได้ และโจทก์รู้อยู่แล้วตั้งแต่โอนกรรมสิทธิ์ เพราะอยู่บ้านพิพาทกับบิดาจำเลยทั้งระยะเวลาแห่งการทำนิติกรรมรายนี้ได้ล่วงเลยมาเกินกว่า ๑๐ ปีนับแต่วันโอนกรรมสิทธิ์ สิทธิฟ้องร้องของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๓ และ ๑๖๔ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน ทนายจำเลยแถลงรับว่าโจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโปเตี้ยน กาญจนบุษย์ ผู้ตายจริง และทรัพย์รายพิพาทเป็นสินสมรส ได้มาขณะที่โจทก์และผู้ตายยังอยู่กินร่วมกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้ฉบับเลขที่ ๓๐/๑๑๙๓ ลงวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๐๕ ให้แบ่งทรัพย์พิพาทให้โจทก์ ๔ ใน ๖ ส่วน ถ้าแบ่งไม่ได้ให้เอาทรัพย์พิพาทขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้โจทก์ ๔ ใน ๖ ส่วน
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเป็นยุติจากคำรับและการนำสืบของคู่ความ และที่มิได้โต้เถียงกันว่านายโปเตี้ยน กาญจนบุษย์ เป็นสามีชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ คนทั้งสองได้อยู่กินด้วยกันตลอดมาจนกระทั่งนายโปเตี้ยน กาญจนบุษย์ถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๑๕ ทรัพย์สินพิพาทตามฟ้องเป็นสินสมรสได้มาในระหว่างที่โจทก์และนายโปเตี้ยน กาญจนบุษย์ สามีอยู่กินร่วมกัน แต่ต่อมาเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๐๕ สามีโจทก์ได้โอนยกที่ดินแปลงนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ จำเลยเป็นบุตรนายโปเตี้ยน กาญจนบุษย์ ผู้ตายซึ่งเกิดจากภริยาอื่น ขณะถึงแก่กรรมผู้ตายมีทายาท ๓ คน คือ โจทก์
จำเลยและนางกีโฮ้ยพี่สาวต่างมารดาของจำเลยอีกคนหนึ่ง
คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาขึ้นมาดังนี้
(๑) นายโปเตี้ยนยกที่ดินและเรือนพิพาทตามฟ้องให้แก่จำเลยโดยเสน่หา หรือว่าโอนโดยมีค่าตอบแทน และจะเพิกถอนได้หรือไม่
(๒) คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องตามมาตรา ๑๖๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่
สำหรับประเด็นข้อ ๑ ฟังได้ว่า นายโปเตี้ยน กาญจนบุษย์ ได้ยกที่ดินพิพาทรวมทั้งเรือนที่ปลูกอยู่ในที่ดินทั้งหมดให้แก่จำเลยโดยเสน่าหา เมื่อทรัพย์สินที่ยกให้โดยเสน่หาเป็นสินสมรสและนายโปเตี้ยน กาญจนบุษย์ ก็ไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ผู้เป็นภริยาฉะนี้แล้ว จึงเป็นเรื่องโอนไปโดยไม่มีอำนาจ ในกรณีเช่นนี้ภริยาย่อมใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินนั้นมาเป็นของโจทก์และกองมรดกได้ ส่วนการเพิกถอนก็ต้องเพิกถอนทั้งหมดจะเพิกถอนเฉพาะส่วนดังจำเลยฎีกาหาได้ไม่ เทียบตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๘๗๒/๒๕๐๘
สำหรับประเด็นข้อ ๒ เมื่อคดีนี้เป็นเรื่องโจทก์ใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินนั้นมาเป็นของโจทก์และกองมรดกดังได้วินิจฉัยมาแล้ว จึงเป็นคดีไม่มีอายุความฟ้องร้องแม้จะเป็นเวลาช้านานสักปานใด และทราบเรื่องเมื่อใด โจทก์ในฐานะภริยาและมีส่วนในกองมรดกก็ยังมีสิทธิติดตามทรัพย์นั้นได้เสมอ เว้นแต่กรณีจะต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒, ๑๓๘๓ โจทก์จึงจะหมดสิทธิติดตามเอาคืนและจะนำเรื่องอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ มาปรับใช้แก่คดีนี้หาได้ไม่ โดยเป็นคนละเรื่องกัน
พิพากษายืน

Share