แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 นำรถยนต์อันเป็นเครื่องอุปกรณ์การขนส่งจำนวน 3 คัน ออกวิ่งรับส่งคนโดยสารและเก็บค่าโดยสาร โดยนำรถยนต์คันหนึ่งซึ่งได้รับใบอนุญาตการขนส่งสาธารณะ ออกวิ่งทับเส้นทางรถประจำทางในสัมปทานของบริษัทอื่นซึ่งเป็นลักษณะของการแข่งขัน เป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ.2497 มาตรา 14 และนำรถยนต์อีกสองคันซึ่งเป็นรถที่สังกัดอยู่ในสัมปทานรถประจำทางของจำเลยที่ 1 ออกวิ่งนอกเส้นทางที่กำหนด อันเป็นความผิดตามมาตรา 10 ดังนี้รถยนต์โดยสารแต่ละคันเป็นองค์สำคัญแห่งความผิด การขนส่งของรถแต่ละคันเป็นความผิดต่างหากจากกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๑๕ เวลากลางวัน จำเลยทั้ง ๕ ได้ร่วมกันกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ.๒๔๙๗ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๑๐, ๑๔, ๕๙, ๖๐ พระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. ๒๔๙๗ ในส่วนที่เกี่ยวกับการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์โดยสาร พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๔ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓
จำเลยทั้ง ๕ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า รถยนต์ของจำเลยที่ ๑ หมายเลข ช.ย. ๐๐๖๒๖ และ ช.ย. ๐๐๕๔๒ เป็นรถยนต์ที่ได้รับใบอนุญาตการขนส่งประจำทางเส้นทางสายอื่น แต่กลับติดป้ายรับส่งคนโดยสารและทำการขนส่งเพื่อสินจ้าง จึงเป็นความผิดฐานประกอบการขนส่งโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนส่วนรถยนต์คันหมายเลข ช.ย. ๐๐๖๔๗ ได้รับใบอนุญาตขนส่งสาธารณะวิ่งทับเส้นทางของบริษัทอื่นเป็นการแข่งขัน พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒มีความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๑๐, ๑๔, ๕๙, ๖๐ พระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๔ สำหรับความผิดตามมาตรา ๑๐ (และมาตรา ๕๙) ให้เรียงกระทงลงโทษปรับกระทงละ ๕๐๐ บาท ส่วนความผิดตามมาตรา ๑๔ (และมาตรา ๖๐) ปรับคนละ ๕๐๐ บาท ข้อหาสำหรับจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ให้ยก เพราะไม่มีส่วนร่วมรู้เห็น
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับศาลชั้นต้น แต่เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดคราวเดียวและกรรมเดียว เป็นความผิดกระทงเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท พิพากษาแก้ให้ลงโทษบทหนักที่สุดตามมาตรา ๑๐, ๕๙ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ปรับคนละ ๑,๕๐๐ บาท
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษเป็นกระทงความผิด
ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติว่า รถยนต์ของจำเลยที่ ๑ อันเป็นเครื่องอุปกรณ์การขนส่งซึ่งถูกนำไปใช้ในการกระทำผิดมีอยู่ ๓ คัน รถคันหมายเลข ช.ย. ๐๐๖๔๗เป็นรถรับจ้างพิเศษโดยได้รับใบอนุญาตการขนส่งสาธารณะ ต้องวิ่งรับจ้างในลักษณะเหมาทั้งคัน แต่กลับไปวิ่งรับคนโดยสารและเก็บค่าโดยสารเป็นการทับเส้นทางรถประจำทางในสัมปทานของบริษัทอื่น ซึ่งเป็นลักษณะของการแข่งขัน จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. ๒๔๙๗มาตรา ๑๔ ส่วนรถอีก ๒ คันเป็นรถที่สังกัดอยู่ในสัมปทานรถประจำทางของจำเลยที่ ๑ ซึ่งต้องวิ่งในเส้นทางชัยภูมิ-ห้วยหว้า แต่กลับวิ่งรับส่งคนโดยสารและเก็บค่าโดยสารนอกเส้นทางที่กำหนด จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อความในมาตรา ๑๐
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามมาตรา ๔ เกี่ยวกับบทนิยามคำว่าการขนส่งและเครื่องอุปกรณ์การขนส่ง กับมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๔ นั้น เมื่อพิจารณาถึงความมุ่งหมายตลอดจนความในพระราชกฤษฎีกาที่โจทก์อ้างอิงแล้วเห็นได้ว่ากฎหมายประสงค์ควบคุมการขนส่งคนโดยสารโดยรถยนต์โดยสารเพื่อป้องกันมิให้เกิดการแก่งแย่งกับรถโดยสารประจำทาง ซึ่งจะทำให้เกิดอุบัติเหตุยังความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตของบุคคลทั่วไป ฉะนั้น รถยนต์โดยสารแต่ละคันย่อมเป็นองค์สำคัญแห่งความผิด กล่าวคือเมื่อออกรับคนโดยสารเพื่อเก็บค่าโดยสารไม่ว่าในเส้นทางใด ต้องถือว่าการขนส่งของรถแต่ละคันเป็นความผิดต่างหากจากกัน หาใช่เป็นการร่วมกระทำความผิดระหว่างรถทุกคันอย่างใดไม่ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
พิพากษาแก้ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการ