แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมจำเลยฟ้องหาว่าโจทก์บุกรุกที่พิพาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง โจทก์ต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะคดีและนับวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยได้เข้าครอบครองทำกินในที่พิพาทแต่ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้อง จำเลยคงครอบครองที่พิพาทตลอดมาโจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทระหว่างคดีในคดีก่อนนั้น จำเลยเข้าครอบครองโดยผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ซึ่งมิใช่เป็นการแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจะอ้างสิทธิแห่งการครอบครองดังกล่าวมายันโจทก์หาได้ไม่ ส่วนที่จำเลยครอบครองที่พิพาทตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 1 ปีโจทก์หาหมดสิทธิฟ้องร้องไม่
ในคดีก่อน ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์และสามีเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท จำเลยไม่ได้ครอบครอง จึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยจะเถียงในคดีนี้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทหาได้ไม่
การที่จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทระหว่างคดีเดิมนั้น เมื่อต่อมาศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่พิพาทและคดีนี้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์การกระทำของจำเลยดังกล่าว ย่อมเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ โจทก์เรียกค่าเสียหายได้แต่ค่าเสียหายที่เกิน 1 ปี ย่อมขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงหนึ่ง จำเลยได้ฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้องโจทก์ต่อสู้ว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะคดีนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาแต่ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้อง จำเลยทราบคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วไม่ยอมออกจากที่พิพาททำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดประโยชน์อันควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เมื่อโจทก์(จำเลยคดีนั้น) มิได้ฟ้องแย้งเรียกคืนการครอบครองภายใน ๑ ปีนับแต่วันถูกแย่งการครอบครอง จึงขาดอายุความฟ้องร้อง ฟ้องโจทก์กล่าวชัดว่าจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทตลอดมาฝ่ายเดียว โจทก์มาฟ้องเรียกคืนการครอบครองเกิน ๑ ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ ค่าเสียหายเกินสมควรและขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๗,๕๐๐ บาทแก่โจทก์กับต่อไปปีละ๑,๕๐๐ บาททุกปี ตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะส่งมอบที่ดินคืนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะเรื่องค่าเสียหายเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินค่าผลประโยชน์ปี ๒๕๑๓ แก่โจทก์ ๑,๕๐๐ บาท และให้ใช้ค่าเสียหายในปี ๒๕๑๔ และปีต่อ ๆ ไปในอัตราปีละ ๑,๕๐๐ บาทแก่โจทก์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์และจำเลยได้พิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินแปลงพิพาทนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว โดยจำเลยฟ้องหาว่าโจทก์บุกรุกที่พิพาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง โจทก์ต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะคดีและนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยได้เข้าครอบครองทำกินในที่พิพาทแต่ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้อง จำเลยคงครอบครองที่พิพาทตลอดมาโจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย
ปัญหามีว่า ที่จำเลยครอบครองที่พิพาทระหว่างคดีในคดีก่อนเป็นเวลาเกินกว่า ๑ ปี แล้ว โจทก์หมดสิทธิฟ้องร้องคดีนี้หรือไม่เห็นว่าการที่จำเลยครอบครองที่พิพาทระหว่างคดีในคดีก่อนนั้น จำเลยเข้าครอบครองโดยผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ซึ่งมิใช่เป็นการแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจะอ้างสิทธิแห่งการครอบครองดังกล่าวมายันโจทก์หาได้ไม่ ส่วนการที่จำเลยครอบครอบที่พิพาทตั้งแต่วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๑๔ อันเป็นวันที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง เป็นต้นมาจนถึงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ อันเป็นวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน ๑ ปี โจทก์หาหมดสิทธิฟ้องร้องไม่
ที่จำเลยฎีกาว่าในคดีก่อนศาลฎีกายังไม่ได้ชี้ขาดว่าจำเลยเข้าแย่งการครอบครองเมื่อใด และโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกคืนการครอบครองได้หรือไม่นั้น เห็นว่า ในคดีก่อนศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้วว่า โจทก์และนายธูปสามีเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท จำเลยไม่ได้ครอบครองจึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท ดังนี้ ในคดีนี้จำเลยจะเถียงว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทหาได้ไม่ เพราะคำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความตามมาตรา ๑๔๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
สำหรับเรื่องค่าเสียหายเห็นว่า การที่จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทระหว่างคดีนั้น เมื่อต่อมาศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท และคดีนี้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์แล้ว การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ โจทก์เรียกค่าเสียหายได้ แต่โจทก์เรียกค่าเสียหายตั้งแต่ปี ๒๕๑๐ตลอดมาถึงวันฟ้อง (๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๔) ค่าเสียหายที่เกิน ๑ ปีย่อมขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘โจทก์คงเรียกได้แต่ปี ๒๕๑๓ และปีต่อ ๆ ไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์มานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน