คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1769/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมผู้ร้องฟ้องจำเลยขอถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทซึ่งมี น.ส.3 ให้แก่ผู้ร้องคดีอยู่ระหว่างการบังคับคดี ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยตามสัญญากู้ยืมแล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังนี้ ถือว่าที่ดินพิพาทยังคงเป็นของจำเลยอยู่ เพราะคดีทั้งสองสำนวนนี้ยังอยู่ในชั้นบังคับคดีด้วยกัน ผู้ร้องจะอ้างคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องชนะจำเลยมายันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ แม้คดีจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม โจทก์ในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอกอาจพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2) และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริง ส่วนคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยนั้น กลับส่อพิรุธว่าอาจจะไม่มีมูลความจริงตามฟ้อง ผู้ร้องย่อมจะขอให้ถอนการยึดไม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้เนื่องมาจากโจทก์ในคดีนี้ยื่นฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญากู้เงิน จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความใช้เงินให้แก่โจทก์แต่ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงนำยึดที่ดินสองแปลงซึ่งเป็นที่ดินมี น.ส. ๓ เพื่อขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องว่า ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้นางม้วนและจำเลยคืนให้แก่ผู้ร้อง ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและห้ามเกี่ยวข้อง ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๐๐/๒๕๑๔ ต่อมาโจทก์จำเลยในคดีนี้ได้ร่วมกันปลอมสัญญากู้นำมาฟ้องเป็นคดีนี้ แล้วทำสัญญายอมความกัน จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์จึงได้นำยึดที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และทะเบียนที่ดินอำเภอก็มีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงมีอำนาจยึดทรัพย์พิพาทได้โดยชอบ ผู้ร้องไม่มีสิทธิคัดค้านการยึดทรัพย์พิพาท แม้ผู้ร้องจะชนะคดี ก็เป็นเรื่องบังคับกันระหว่างผู้ร้องกับจำเลย เมื่อจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลทรัพย์พิพาทยังคงเป็นของจำเลย และต่อสู้อีกว่าคดีที่ผู้ร้องฟ้องและชนะคดีจำเลยนั้น ผู้ร้องกับจำเลยวางแผนฉ้อโกงโจทก์
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่ดินที่ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนให้แก่ผู้ร้องกับที่ดินพิพาท เป็นที่ดินรายเดียวกัน เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยคืนที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าให้ผู้ร้องแล้ว ที่พิพาทย่อมตกเป็นของผู้ร้องทันทีโดยผลแห่งคำพิพากษา ไม่ต้องส่งมอบอีก จึงมีคำสั่งให้ปล่อยทรัพย์พิพาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ผู้ร้องฟ้องเรียกคืน ที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดมี น.ส.๓ เป็นชื่อของจำเลยแต่ผู้เดียวโจทก์ขอบังคับคดีได้พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ยกคำร้องขัดทรัพย์
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องร้องขอให้ปล่อยเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ผู้ร้องฟ้องเรียกคืนโจทก์และผู้ร้องต่างเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย และต่างก็ถือว่าตนมีสิทธิในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงของจำเลยดีกว่าอีกฝ่ายหนึ่งโดยอ้างว่าจำเลยสมยอมกับอีกฝ่ายหนึ่งในการฟ้องคดี ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัย คือ โจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอากับที่ดินพิพาทได้หรือไม่
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริงตามที่โจทก์ฟ้อง แต่คดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยส่อพิรุธประการหนึ่งว่าอาจจะไม่มีมูลความจริงตามฟ้องก็เป็นได้แล้ววินิจฉัยว่า ที่พิพาทยังคงเป็นของจำเลยอยู่ เพราะคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์และคดีนี้ต่างก็ยังอยู่ในชั้นบังคับคดีด้วยกัน และตามนัยแห่งบทบัญญัติมาตรา ๑๔๕ วรรค ๒(๒) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น ผู้ร้องจะอ้างคำพิพากษา (ที่ชนะคดีจำเลย) มายันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้แม้คดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม โจทก์ในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอกคดีอาจพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้อง และตามข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว โจทก์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าตนมีสิทธิที่จะบังคับคดีเอากับที่ดินพิพาททั้งสองแปลงนี้ได้ ฎีกาของผู้ร้องที่ให้โจทก์ถอนการยึดนั้นฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนในผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share