คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1675/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าหนี้จำเลยขาดอายุความแล้วและหลังจากนั้นจำเลยได้ทำหนังสือฝ่ายเดียว ยอมชำระหนี้ทั้งหมดให้โจทก์ ซึ่งกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 172 และไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 188 ก็ตาม แต่การที่จำเลยทำหนังสือไว้ให้โจทก์เช่นนั้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ละประโยชน์แห่งอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 192 จำเลยจะยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์หาได้ไม่
การรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 นั้น ต้องเป็นเรื่องรับสภาพกันภายในกำหนดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๐๗๐,๐๘๐ บาท ๓๙ สตางค์ เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๑๓ จำเลยได้ทำสัญญารับสภาพหนี้ยอมชำระหนี้ทั้งหมดให้โจทก์โดยสัญญาว่าจะชำระหนี้ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยให้เสร็จสิ้นภายใน ๖ เดือน จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ รวมเงินต้นและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑,๒๗๒,๓๔๑.๑๕ บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปีนับจากวันฟ้อง
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ไม่ปรากฏว่าจำเลยหรือนางวิไล เกษมสันต์ ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินไปตามที่โจทก์ฟ้อง จึงมีผลเท่ากับมิได้กู้เงินโจทก์ไปตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและไม่มีมูลหนี้ต่อกัน หนังสือรับสภาพหนี้ตามฟ้องจึงไม่มีผลบังคับ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และคดีของโจทก์ขาดอายุความ หนังสือรับสภาพหนี้ตกเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้หนี้จำนวน ๑,๐๗๐,๐๘๐.๓๙ บาท และดอกเบี้ยในต้นเงิน ๔๙๑,๓๔๔.๑๐ บาท ในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๑๓ ถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่ามูลหนี้เดิมระหว่างโจทก์กับจำเลยและภรรยาจำเลยไม่มีต่อกันพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ ๑,๐๗๐,๐๘๐.๓๙ บาท ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย และข้อที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าหนี้ขาดอายุความแล้วและหนังสือรับสภาพหนี้เป็นการไม่ชอบ เพราะทำขึ้นโดยลูกหนี้ฝ่ายเดียวโจทก์ไม่มีสิทธินำมาฟ้องจำเลยนั้นเห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่ากรณีของโจทก์จำเลยนี้ หนี้จำเลยขาดอายุความแล้วก็ตาม กรณีก็ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒ เพราะการรับสภาพหนี้ตามมาตรา ๑๗๒ นี้ต้องเป็นเรื่องรับสภาพกันภายในกำหนดอายุความและกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๘๘ แต่การที่จำเลยทำหนังสือเอกสารหมาย จ.๑๑ ไว้ให้โจทก์นั้นย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๒ ฉะนั้น จำเลยจะยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์หาได้ไม่ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share