คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1207/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีมีประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องคำให้การว่า จำเลยซื้อที่พิพาทจากโจทก์ หรือโจทก์มอบที่พิพาทให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย ในการวินิจฉัยคดีนั้น ศาลจะเชื่อประการใดก็โดยอาศัยข้อเท็จจริงจากการนำสืบของคู่ความซึ่งเสร็จสิ้นแล้ว ลำพังแต่คำเบิกความของโจทก์ผู้เดียว ซึ่งเบิกความตอบทนายโจทก์และตอบทนายจำเลยไม่ตรงกัน จะฟังเป็นความจริงเป็นดังที่ตอบทนายโจทก์หรือทนายจำเลยประการหนึ่งประการใดย่อมไม่ได้ ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย โดยฟังคำเบิกความของโจทก์คนเดียวซึ่งเบิกความตอบทนายโจทก์และตอบทนายจำเลยไม่ตรงกัน แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์หมดสิทธิฟ้องจำเลย และพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียนั้น จึงเป็นการมิชอบด้วยวิธีพิจารณาความศาลสูงย่อมย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานของคู่ความต่อไปจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กู้เงินนายแวว ๑,๐๐๐ บาท แล้วมอบนาของโจทก์ให้ทำกินต่างดอกเบี้ยไม่มีกำหนดไถ่คืน นายแววทำกิน ๑ ปี ก็ขอคืนนาให้โจทก์และขอเงินกู้คืน โจทก์ไม่มีเงินโจทก์อนุญาตให้นายแววเอาที่นานี้ไปประกันเงินกู้จำเลยซึ่งนายแววกู้มา ๔๐๐ บาท แล้วมอบนาของโจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย โดยรู้เห็นยินยอมทั้งสามคนและตกลงกันว่าหากโจทก์จะเอาที่นาคืนก็ให้ใช้เงินจำเลย ๔๐๐ บาท อีก ๖๐๐ บาท โจทก์ต้องคืนนายแวว ประมาณตุลาคม ๒๕๑๕ นำเงินกู้ไปคืนจำเลย ๔๐๐ บาท จำเลยไม่ยอมรับและคืนนาให้โจทก์ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยรับเงินและส่งมอบนาคืนโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อนาพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าจากโจทก์ จำเลยครอบครองเกิน ๑ ปี ตกเป็นของจำเลย
เมื่อสืบตัวโจทก์เสร็จ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วให้งดสืบพยานของคู่ความ พิพากษาว่าเมื่อโจทก์ฟ้องเกิน ๑ ปี จึงหมดสิทธิฟ้องจำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปจนสิ้นกระแสความ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นแห่งคดีมีว่า จำเลยซื้อที่พิพาทจากโจทก์หรือว่าโจทก์มอบที่พิพาทให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยซึ่งการวินิจฉัยคดีศาลจะเชื่อว่าเป็นประการใด ต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากการนำสืบของคู่ความซึ่งเสร็จสิ้นแล้ว อนึ่ง ลำพังแต่คำเบิกความของโจทก์ผู้เดียว ซึ่งเบิกความตอบทนายโจทก์และตอบทนายจำเลยไม่ตรงกัน กล่าวคือ ในตอนแรกเบิกความตอบทนายโจทก์ว่า โจทก์ได้ไปขอไถ่ที่พิพาทจากจำเลยเมื่อเดือน ๑๑ ปีที่แล้ว (พ.ศ. ๒๕๑๕) ครั้นตอบคำถามค้านของทนายจำเลยกลับว่า โจทก์ได้ไปขอไถ่เมื่อ ๒ – ๓ ปีก่อน (ฟ้องคดี) แต่จำเลยไม่ยอมให้ไถ่ โดยอ้างว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ถ้าอยากได้คืนให้ฟ้องเอาเพียงเท่านี้จะฟังว่าความจริงเป็นดังที่ตอบทนายโจทก์หรือทนายจำเลยประการหนึ่งประการใดย่อมไม่ได้ และต้องฟังจากพยานหลักฐานอย่างอื่นที่คู่ความจะนำสืบต่อไป แล้วจึงจะวินิจฉัยได้ว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองจากจำเลยได้หรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานของคู่ความแล้วพิพากษาคดี โดยมิให้โอกาสแก่คู่ความสืบพยานฝ่ายของตนให้เสร็จสิ้นเนื้อถ้อยกระทงความดังกล่าวเสียก่อน เป็นการมิชอบด้วยวิธีพิจารณาความ
พิพากษายืน

Share