แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงมาแล้วว่า ทางหลวงชนบทตรงที่จับจำเลยได้พร้อมกับไม้ของกลางอยู่ในบริเวณป่าอันเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ และไม้ของกลางเป็นไม้ที่ถูกตัดจากในป่าสงวนแห่งชาติ การที่จำเลยฎีกาว่าทางหลวงชนบทที่จำเลยถูกจับนั้น มิใช่ป่าสงวนแห่งชาติ และการนำไม้หวงห้ามออกจากป่าหมายถึง การนำไม้ที่มีอยู่หรือขึ้นอยู่ในป่า มิได้หมายความถึงการซื้อไม้ที่มีคนนำมาขายให้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ดังนี้ เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ไม้ของกลางตัดมาจากป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพของป่านั้นแล้ว การที่จำเลยนำไม้ของกลางออกจากป่าสงวนแห่งชาติซึ่งอยู่ในความหมายของการทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นความผิดตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจมีไม้สักแปรรูป ปริมาตรเนื้อไม้ ๐.๔๐ ลูกบาศก์เมตรอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยได้บังอาจร่วมกันใช้รถจักรยานยนต์ชักลากและนำไม้สักแปรรูปที่มีอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติที่จำเลยมีไว้เป็นความผิดออกจากป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗มาตรา ๔, ๖, ๑๔, ๑๕, ๓๑, ๓๕ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔มาตรา ๑๑, ๔๘, ๗๓, ๗๔, ๗๔ ทวิ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๖ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๗, ๑๘ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ และสั่งริบไม้สักและรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ และพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๑๑, ๗๓ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๖ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๗ แต่ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ เพียงฐานเดียว ให้จำคุก ๙ เดือน ปรับคนละ ๓,๐๐๐ บาทลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ให้คนละ ๑ ใน ๓ คงเหลือจำคุกคนละ ๖ เดือนปรับคนละ ๒,๐๐๐ บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ ๒ ปี ไม้และรถจักรยานยนต์ของกลางริบ ข้อหาฐานร่วมกันมีไม้สักแปรรูปเกินกว่า ๐.๒๐ ลูกบาศก์เมตรไว้ในครอบครองให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวฟ้องพนักงานป่าไม้และตำรวจได้จับกุมจำเลยทั้งสามขณะที่รถจักรยานยนต์คนละคันบรรทุกไม้สักแปรรูปคันละ ๒ ท่อนมาตามทางรถยนต์เส้นทางหลวงชนบท จากบ้านแม่จ๋องไปทางบ้านแม่ป๊อก ซึ่งอยู่ในบริเวณป่าแม่ตืนและป่าแม่แนต โดยจำเลยซื้อไม้ของกลางมาจากชายคนหนึ่งที่ตัดไม้นั้นในป่าบ้านแม่จ๋องซึ่งอยู่ในบริเวณป่าแม่ตืนแม่แนตอันเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ
จำเลยฎีกาว่า ทางหลวงชนบทที่จำเลยถูกจับกุมนั้นมิใช่ป่าสงวนแห่งชาติและการนำไม้หวงห้ามออกจากป่าหมายถึงการนำไม้ที่มีอยู่หรือขึ้นอยู่ในป่า มิได้หมายความถึงการซื้อไม้ที่มีคนนำมาขายให้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงมาแล้วว่า ทางหลวงชนบทตรงที่จับจำเลยทั้งสามได้พร้อมกับไม้ของกลางอยู่ในบริเวณป่าแม่ตืนและป่าแม่แนต อันเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ และไม้ของกลางเป็นไม้ที่ถูกตัดจากในป่าสงวนแห่งชาติ ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ส่วนข้อที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า การนำไม้ออกจากป่าสงวนแห่งชาติอันจะเป็นผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ ต้องปรากฏด้วยว่า การกระทำนั้นเป็นเหตุให้เสื่อมเสียแก่สภาพของป่าสงวนด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าไม้ของกลางตัดมาจากป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพของป่านั้นแล้ว การที่จำเลยทั้งสามนำไม้ของกลางออกจากป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งอยู่ในความหมายของการทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นความผิดตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ แล้ว
พิพากษายืน