คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินที่กู้ยืมไป จำเลยให้การถึงมูลเหตุที่มาของการทำสัญญากู้ว่าบุตรจำเลยไปสู่ขอบุตรสาวโจทก์เป็นภรรยา โจทก์เรียกเงินตกทอดและเงินค่าเลี้ยงดูแขกในวันสมรสจากจำเลย ซึ่งจำเลยตกลง ข้อตกลงของจำเลยจึงเป็นสัญญาอย่างหนึ่งส่วนที่โจทก์ได้ให้จำเลยทำเป็นสัญญากู้ไว้เพราะโจทก์ไม่ไว้ใจเกรงว่าจำเลยจะปฏิบัติตามสัญญาไม่ได้ สัญญากู้จึงเป็นแต่เพียงหลักประกันเพื่อให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาเท่านั้น หาใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ไม่และเมื่อจำเลยให้การไว้ด้วยว่าจำเลยมิได้กู้เงินและรับเงินตามฟ้องไปจากโจทก์ และว่าได้ชำระเงินค่าตกทอดและค่าเลี้ยงแขกให้โจทก์ไปครบถ้วนแล้ว ซึ่งถ้าเป็นจริงดังจำเลยต่อสู้ จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องจำเลยจึงนำพยานบุคคลมาสืบได้ตามข้อต่อสู้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินที่กู้ไปตามสัญญาท้ายฟ้องพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่ามิได้กู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องความจริงบุตรจำเลยไปสู่ขอบุตรสาวโจทก์เป็นภรรยา โจทก์ยกให้โดยเรียกเงินตกทอดและค่าเลี้ยงแขกในวันสมรสจากจำเลย จำเลยตกลงแต่โจทก์ไม่ไว้ใจ จึงให้จำเลยทำสัญญากู้เงินฉบับที่ฟ้องให้โจทก์จำเลยได้นำเงินมาให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว และขอสัญญากู้คืน แต่โจทก์ว่าฉีกทำลายเสียแล้ว ต่อมาบุตรโจทก์กับบุตรจำเลยได้หย่าร้างกัน โจทก์จึงนำสัญญากู้มาฟ้อง เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย และวินิจฉัยว่าเหตุที่ทำสัญญากู้กัน เพราะโจทก์เกรงจะไม่ได้เงินตกทอดและเงินค่าอาหารเนื่องในการที่บุตรสาวโจทก์แต่งงานกับบุตรจำเลย กรณีจึงเป็นหนี้ต่อกันจริง ซึ่งอาจแปลงหนี้ได้และที่ตกลงกันก่อนเกิดหนี้ก็ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญากู้จึงชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จำเลยมีความผูกพันต่อกันในหนี้เงินกู้ เมื่อเป็นหนี้เงินกู้ การนำสืบการใช้เงินก็อยู่ใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๕๓ วรรค ๒ ซึ่งจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนหรือแทงเพิกถอนแล้ว จะนำสืบพยานบุคคลไม่ได้ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไป ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ จำเลยให้การถึงมูลเหตุที่มาของการทำสัญญากู้กันว่าเนื่องจากบุตรจำเลยไปสู่ขอบุตรโจทก์เป็นภรรยา แล้วโจทก์เรียกเงินตกทอดและเงินค่าเลี้ยงดูแขกในวันสมรส ซึ่งจำเลยตกลง ข้อตกลงของจำเลยจึงเป็นสัญญาอย่างหนึ่ง ส่วนที่โจทก์ให้จำเลยทำเป็นสัญญากู้ให้ไว้แก่โจทก์ก็เพราะโจทก์ไม่ไว้ใจ เกรงว่าจำเลยจะปฏิบัติตามสัญญาไม่ได้ สัญญากู้จึงเป็นแต่เพียงหลักประกันเพื่อให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาเท่านั้นหาใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ไม่ และจำเลยยังให้การไว้ด้วยว่าจำเลยมิได้กู้เงินและรับเงินตามฟ้องไปจากโจทก์ ทั้งยังว่าได้ชำระเงินค่าตกทอดและค่าเลี้ยงแขกให้โจทก์ไปครบถ้วนแล้วซึ่งถ้าหากเป็นจริงดังจำเลยต่อสู้จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์ กรณีเช่นนี้จำเลยจึงนำพยานบุคคลมาสืบได้ตามข้อต่อสู้ของจำเลย การนำสืบดังกล่าวไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
พิพากษายืน

Share