แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เช็ครายพิพาทเป็นเช็คของจำเลยสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ เมื่อโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินจากธนาคารไม่ได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้ใช้เงินตามเช็คนั้น
เมื่อจำเลยให้การอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยไม่สุจริตแต่จำเลยไม่ได้กล่าวให้ชัดว่า ไม่สุจริตอย่างไร จึงไม่มีประเด็นนำสืบ
เมื่อจำเลยออกเช็คพิพาทสั่งจ่ายไปแล้ว จำเลยจะต้องรับผิดตามเช็คที่ออกจำเลยจะยกข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันระหว่างตนกับ ท. (ผู้ทรงคนก่อน) ขึ้นต่อสู้โจทก์มิได้ เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล แต่ตามคำให้การจำเลยถือไม่ได้ว่าจำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทจาก ท. โดยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลย ดังนี้จึงไม่จำเป็นต้องสืบพยานโจทก์จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค ลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๑๓รวม ๖ ฉบับ รวมเป็นเงิน ๑๕๙,๘๘๐ บาท โดยจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๑๓ โจทก์ได้นำเช็คทั้ง ๖ ฉบับเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อให้ธนาคารเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินและคืนเช็ค โจทก์ทวงถามจำเลยแล้วก็เพิกเฉย จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๑๓ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๗๑,๘๗๑ บาท และดอกเบี้ยต่อไปในต้นเงิน ๑๕๙,๘๘๐ บาทจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การมีใจความสำคัญว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค ๖ ฉบับโดยไม่สุจริตการออกเช็คดังกล่าวเป็นการประกันหนี้ ไม่ประสงค์จะให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นโดยจำเลยกู้เงินนางทองเจือ เจียมประเสริฐ เช็คฉบับแรกสั่งจ่ายเงินต้น ๑๐๐,๐๐๐บาท เช็คฉบับอื่น ๆ สั่งจ่ายดอกเบี้ยค้างชำระและดอกเบี้ยล่วงหน้ารวมเป็นเงิน๕๙,๘๘๐ บาท ซึ่งเป็นดอกเบี้ยเกินอัตราที่นางทองเจือเรียกเก็บจากจำเลย โจทก์ฟ้องเรียกเงินต้น ๑๕๙,๘๘๐ บาท ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
วันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีไม่มีประเด็นที่จะต้องสืบพยานต่อไปจึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาว่า ให้จำเลยใช้เงิน ๑๕๙,๘๘๐บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๑๓จนถึงวันชำระหนี้เสร็จให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ ๑,๕๐๐บาทแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติได้จากคำฟ้อง คำให้การจำเลยประกอบกับสำเนาเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๖ มีว่า จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อในเช็คพิพาททั้ง ๖ ฉบับ โจทก์เป็นผู้ถือเช็คดังกล่าวได้ฟ้องจำเลยให้ใช้เงินตามเช็ค และปรากฏตามเช็คพิพาทว่าจ่าย “ผู้ถือ” ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๑๖ บัญญัติว่า บุคคลทั้งหลายผู้ถูกฟ้องในมูลตั๋วแลกเงินหาอาจจะต่อสู้ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับผู้สั่งจ่ายหรือกับผู้ทรงคนก่อน ๆ นั้นได้ไม่ เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉลเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเช็ครายพิพาทเป็นเช็คของจำเลยสั่งจ่ายแก่ผู้ถือโจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค ฉะนั้น เมื่อโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินจากธนาคารไม่ได้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย เพราะโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คตามมาตรา ๙๐๔แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อในเช็คจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คตามมาตรา ๙๐๐ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อจำเลยให้การอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค ๖ ฉบับโดยไม่สุจริต แต่จำเลยก็ไม่ได้กล่าวให้ชัดว่าไม่สุจริตอย่างไร จึงไม่มีประเด็นนำสืบเมื่อจำเลยให้การรับว่าจำเลยออกเช็คให้นางทองเจือ เจียมประเสริฐ เป็นการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเงินกู้ของนางทองเจือแล้ว เช็คเหล่านั้นได้มาอยู่ในความครอบครองของโจทก์ในฐานะผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีเหตุหรือข้ออ้างอันใดจะยกขึ้นอ้างเพื่อไม่ให้มีการจ่ายเงินตามเช็คได้ในเมื่อจำเลยออกเช็คพิพาทสั่งจ่ายไปแล้ว จำเลยจะต้องรับผิดตามเช็คที่ออกจำเลยจะยกข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันระหว่างตนกับนางทองเจือขึ้นต่อสู้โจทก์มิได้ เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล แต่ตามคำให้การของจำเลย จำเลยต่อสู้ว่าเช็ครายพิพาทเป็นเช็คของจำเลยออกให้นางทองเจือเป็นการชำระหนี้เงินต้น ๑๐๐,๐๐๐ บาท ๑ ฉบับ ส่วนเช็คอีก ๕ ฉบับเงิน ๕๙,๘๘๐ บาท เป็นการชำระดอกเบี้ยเกินอัตราที่นางทองเจือเรียกเก็บจากจำเลย โจทก์ฟ้องเรียกเงินต้น ๑๕๙,๘๘๐ บาท จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตามคำให้การของจำเลยดังกล่าวถือไม่ได้ว่าจำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทจากนางทองเจือโดยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๙๑๖ ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องสืบพยานโจทก์จำเลยดังที่จำเลยฎีกาขึ้นมา
พิพากษายืน