แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ใช้อุบายอ้างตนเป็นตำรวจร่วมกับจำเลยที่ 2ซึ่งแสดงตนว่าเป็นตำรวจ โดยจำเลยที่ 1 แกล้งจับ ป. ใส่กุญแจมือและจะจับผู้เสียหายหาว่าค้าฝิ่นเถื่อน แต่เมื่อผู้เสียหายถอยหลังออกไปไม่ยอมให้จับข้อมือ จำเลยที่ 1 ก็พูดว่า ‘เอาอย่างนี้ก็แล้วกันลุง ลุงเอาเงินให้ฉันพันหนึ่ง แล้วลุงขายฝิ่นต่อไปก็แล้วกัน’ โดยจำเลยที่ 1 หรือที่ 2 มิได้ข่มขืนใจด้วยการใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญจะทำอันตรายต่อชีวิต เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้เสียหาย หรือของบุคคลที่สาม อย่างไรต่อไปผู้เสียหายเรียกบุตรชายซึ่งเดินมาจะเข้าบ้าน จำเลยทั้งสองและป.ก็เดินออกไป เช่นนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสองยังไม่เข้าลักษณะเป็นความผิดฐานกรรโชก จึงไม่เป็นพยายามกรรโชก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ซึ่งรับราชการเป็นตำรวจร่วมกับจำเลยที่ ๑และเด็กชายประทีป ใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งของจำเลยที่ ๒ โดยมิชอบโดยจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้อุบายข่มขืนใจแกล้งกล่าวหานายประเสริฐว่าจำหน่ายฝิ่นโดยไม่รับอนุญาต จำเลยกับพวกจะจับกุมนายประเสริฐส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี แต่ถ้านายประเสริฐยินยอมจ่ายเงินให้จำเลยกับพวก ๑,๐๐๐ บาท ก็จะไม่จับตัวไป การกระทำของจำเลยไม่บรรลุผลโดยนายประเสริฐไม่ยินยอมมอบเงินให้ และจำเลยที่ ๒ ยังได้กระทำความผิดฐานอื่นอีกด้วย ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๘, ๘๓, ๓๓๗, ๓๓๙, ๓๗๑, ๓๗๖, ๙๐, ๙๑, ๙๒, ๘๐ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ให้ริบของกลางทั้งหมด เว้นแต่ขอสร้อยคอทองคำ ๑ อันให้คืนเจ้าทรัพย์ และให้จำเลยที่ ๒ คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน ๘๖๐ บาทแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ จำเลยที่ ๑ รับว่าเคยต้องโทษพ้นโทษจริงตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๘, ๘๖ และมาตรา ๓๓๗, ๘๐, ๘๓ ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๔๘, ๘๖ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก ๔ ปี เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามมาตรา ๙๒ เป็นจำคุก๕ ปี ๔ เดือน ส่วนจำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๘ และ ๓๓๗, ๘๐, ๘๓, ๓๗๑, ๓๗๖ และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘ ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุดให้จำคุก ๖ ปี ข้อหาฐานชิงทรัพย์ให้ยก ริบของกลางทั้งหมดเว้นแต่ขอสร้อยคอทองคำ ๑ อัน ให้คืนผู้เสียหาย
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ฐานชิงทรัพย์ด้วย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดฐานชิงทรัพย์อีกกระทงหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ และให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาร่วมกันพยายามกรรโชก นอกจากนี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันพยายามกรรโชกด้วย
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหายและนายเล็ก นายประทีปอยู่ใต้ถุนบ้านผู้เสียหาย จำเลยทั้งสองเข้ามาแล้วจำเลยที่ ๑ คว้าข้อมือนายประทีปใส่กุญแจมือข้างหนึ่ง และคว้าข้อมือผู้เสียหายดึงมาจะใส่กุญแจมือคู่กับนายประทีป ผู้เสียหายไม่ยอม สะบัดมือหลุดและถามว่า”คุณมาจับผมเรื่องอะไร” จำเลยที่ ๑ ตอบว่า ผู้เสียหายค้าฝิ่นเถื่อนผู้เสียหายถามว่า “แล้วคุณเป็นอะไร” จำเลยที่ ๑ ตอบว่าเป็นตำรวจผู้เสียหายถามถึงบัตรประจำตัว จำเลยที่ ๑ หันไปบอกจำเลยที่ ๒ เอาบัตรให้ดูจำเลยที่ ๒ ถลกชายเสื้อคว้าปืนสั้นออกมาพูดว่า “ใช้ได้เหมือนกันเป็นปืนตำรวจ” แล้วเก็บปืนไว้อย่างเดิม จำเลยที่ ๑ จะเข้าจับมือผู้เสียหายผู้เสียหายถอยหลังจะหนี จำเลยที่ ๑ พูดว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันลุง เอาเงินมาให้ฉันพันหนึ่ง แล้วลุงขายฝิ่นต่อไปก็แล้วกัน” ขณะนั้นนายสว่างบุตรผู้เสียหายเดินมาจะเข้าบ้าน ผู้เสียหายจึงเรียกนายสว่าง จำเลยทั้งสองก็พากันเดินออกไปพร้อมกับนายประทีป แล้วจึงไปเกิดเรื่องจำเลยที่ ๒ชิงทรัพย์นางระเบียบและยิงปืนตามฟ้อง จึงวินิจฉัยว่า จะเห็นได้ว่าจำเลยที่ ๑ ใช้อุบายอ้างตนเป็นตำรวจร่วมกับจำเลยที่ ๒ ซึ่งแสดงตนว่าเป็นตำรวจ โดยจำเลยที่ ๑ แกล้งจับนายประทีปใส่กุญแจมือ และจะจับผู้เสียหายหาว่า ค้าฝิ่นเถื่อน แต่เมื่อผู้เสียหายถอยหลังออกไปไม่ยอมให้จับข้อมือจำเลยที่ ๑ กลับพูดว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันลุง ลุงเอาเงินให้ฉันพันหนึ่ง แล้วลุงขายฝิ่นต่อไปก็แล้วกัน” โดยจำเลยที่ ๑ หรือที่ ๒ มิได้ข่มขืนใจด้วยการใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญจะทำอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้เสียหายหรือของบุคคลที่สามอย่างไรต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๗ การกระทำของจำเลยทั้งสองยังไม่เข้าลักษณะเป็นความผิดฐานกรรโชก จึงไม่เป็นพยายามกรรโชกตามฟ้อง
พิพากษายืน