คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1658/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อายุความที่ผู้ทรงเช็คฟ้องร้องเรียกเงินตามเช็คจากผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลัง ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่เช็คถึงกำหนด หรือวันที่ลงในเช็ค ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002หาใช่เริ่มนับตั้งแต่วันที่ได้รับมอบเช็คไม่
การที่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย ลงวันสั่งจ่ายในเช็คเสียเอง เพราะเช็คนั้นไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายเอาไว้และเหตุที่ไม่ได้ลงวันสั่งจ่ายไว้ ก็เป็นที่เห็นได้ว่าเป็นเจตนาของผู้ทรงเช็คกับผู้สั่งจ่ายที่จะเว้นไว้เพื่อให้ผู้ทรงเช็คไปลงเอาเองในภายหลังเมื่อไม่ปรากฏว่ามีข้อจำกัดในเรื่องวันสั่งจ่ายที่ผู้ทรงเช็คจะลงอย่างไรก็ต้องถือว่าผู้ทรงเช็คจะลงวันไหนก็ได้

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลล่างพิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้องเป็นใจความทำนองเดียวกันว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่ายจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ลงชื่อสลักหลังสำนวนแรกเป็นเช็คหนึ่งฉบับ ลงวันที่ ๑๕ธันวาคม ๒๕๑๐ สำนวนหลังเป็นเช็คของธนาคารต่าง ๆ รวม ๑๐ ฉบับสั่งจ่ายชำระหนี้ให้โจทก์โดยไม่ลงวันที่สั่งจ่าย แต่ยอมให้โจทก์ลงวันที่เอาเองเมื่อนำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคาร โจทก์ได้ลงวันที่ในเช็คทั้ง ๑๐ ฉบับและได้นำเช็คทั้ง ๑๑ ฉบับไปขอรับเงินจากธนาคารแล้ว ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับให้จำเลยชำระ
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การเป็นใจความว่า เมื่อ-ประมาณ ๑๐ ปีมานี้ จำเลยที่ ๒ และสามีได้กู้เงินโจทก์หลายครั้ง ได้มอบเช็ค ๑๑ ฉบับมีจำนวนเงินเท่ากับเงินกู้ ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันเช็คนี้จำเลยที่ ๑เป็นผู้สั่งจ่าย แต่ยังไม่ได้ลงวันเดือนปี จำเลยที่ ๒ กับสามีเป็นผู้สลักหลังจำเลยที่ ๒ ได้ผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว แต่โจทก์ไม่คืนเช็คให้ จำเลยที่ ๒ มอบเช็คให้โจทก์ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ โจทก์ประทับตราวันเดือนปีลงในเช็คผิดความจริง เป็นการไม่สุจริต คดีขาดอายุความฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ ๒ได้มอบเช็ค ๑๑ ฉบับ ตามฟ้องให้โจทก์ไว้เป็นประกันเงินที่จำเลยที่ ๒กับสามีกู้ไปจากโจทก์ การที่ไม่ได้ลงวันที่ในเช็คจึงเท่ากับตกลงว่าเมื่อไม่ใช้เงินที่ยืม ก็ให้ใช้เช็คบังคับกันได้ โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงโดยสุจริตย่อมลงวันที่สั่งจ่ายที่ตนประสงค์จะนำเช็คเบิกเงินจากธนาคารได้คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็คในสำนวนแรกเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยอีก ๓,๔๓๔.๑๖ บาทและสำนวนหลังเป็นเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยอีก ๔๓,๘๙๐ บาทกับให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ในต้นเงินทั้งสองจำนวนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ ๒ ได้ผ่อนชำระหนี้แล้วรวมกันเป็นเงิน ๓๙๘,๘๐๐ บาท ยังเป็นหนี้โจทก์เพียง ๒๕๐,๒๐๐ บาท พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๒๕๐,๒๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ จนกว่าจำเลยจะใช้หนี้ให้โจทก์เสร็จ
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า อายุความที่โจทก์ผู้ทรงเช็คจะฟ้องร้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลย ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายและสลักหลังตามบทบัญญัติในลักษณะตั๋วเงินนั้นต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่เช็คถึงกำหนดหรือวันที่ลงในเช็ค ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๐๒ หาใช่เริ่มนับตั้งแต่วันที่จำเลยมอบเช็คให้โจทก์ไม่เมื่อปรากฏว่านับตั้งแต่วันที่ลงในเช็คที่โจทก์ฟ้องยังไม่เกินกำหนด ๑ ปี คดีของโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็ครายพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คเสียเอง ก็เพราะเช็คนั้น ๆ ไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายเอาไว้ และเหตุผลที่ไม่ลงวันที่สั่งจ่าย เป็นที่เห็นได้ว่าเป็นเจตนาของโจทก์และจำเลยผู้สั่งจ่ายที่เว้นไว้เพื่อให้โจทก์ไปลงเอาเองในภายหลัง เมื่อจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่ามีข้อจำกัดในเรื่องวันที่สั่งจ่ายที่โจทก์จะลงในเช็คนี้อย่างไร ก็ต้องถือว่าโจทก์จะลงวันไหนก็ได้ เมื่อโจทก์ได้ลงไปแล้วก็ย่อมเป็นการชอบ จำเลยจะมาโต้แย้งว่าการกระทำนั้นไม่สุจริตหาได้ไม่
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า คงเหลือเงินที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์เพียง ๒๓๓,๙๕๐ บาท
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะจำนวนเงินที่ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้โจทก์เป็น ๒๓๓,๙๕๐ บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share