คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1107/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ตั้งให้ทนายโจทก์มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยได้ และทนายโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลย ศาลได้พิพากษาไปตามยอมแล้ว คำพิพากษานั้นย่อมผูกมัดโจทก์ไม่ให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138 เว้นแต่กรณีจะต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา138(1)เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล
ขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ทนายโจทก์ย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจเกี่ยวกับข้อความและจำนวนเงินที่จะตกลงกับจำเลยได้เต็มที่และเมื่อได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จะมาอ้างว่าจำเลยบอกเล่ากับทนายโจทก์ไม่ตรงความจริงเป็นการฉ้อฉลทนายโจทก์หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จากจำเลยที่ ๑เป็นเงิน ๗,๕๐๐ บาท หากจำเลยที่ ๑ ไม่ใช้ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๒ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันใช้แทน
จำเลยที่ ๑ ไม่ยื่นคำให้การ ในวันครบกำหนดที่จำเลยที่ ๒จะยื่นคำให้การ คือ วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๑๒ ทนายโจทก์แถลงขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ ๒ ว่าจำเลยที่ ๒ ยอมใช้เงินให้แก่โจทก์ ๒,๙๓๐ บาท โดยผ่อนเป็นงวดงวดละ ๒๐๐ บาทจนกว่าจะหมด หากผิดนัดงวดใดถือว่าผิดนัดทุกงวดบังคับคดีได้ทันที โจทก์จะไม่เรียกร้องรถจักรยานยนต์คืน หรือเรียกร้องอื่นใดเกี่ยวกับรถรายนี้อีก ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความเป็นพับ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม
วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๑๒ ทนายโจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลว่าโจทก์ได้รับเงินตามยอมงวดที่ ๑ จากจำเลยแล้ว ครั้นวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๑๒ทนายโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ ๒ มีเจตนาใช้กลฉ้อฉลโกงโจทก์ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ตกลงกับโจทก์ไว้ว่าจะยอมใช้เงิน๒,๙๓๐ บาท ให้โจทก์ในวันทำสัญญายอม ส่วนที่เหลือ ๒,๔๐๐ บาทจะผ่อนชำระให้โจทก์เป็นรายเดือน ๆ ละ ๓๐๐ บาท ครั้นมาถึงศาลจำเลยได้ปกปิดความจริงที่ได้ตกลงกับโจทก์มาก่อน ไม่แจ้งให้ทนายโจทก์และศาลทราบ และกล่าวเท็จต่อทนายโจทก์ว่าโจทก์จะเอาเงินทั้งหมดเพียง๒,๙๓๐ บาท ยังขาดเงินไปอีก ๒,๔๐๐ บาท ทนายโจทก์หลงเชื่อจึงได้ทำยอมกับจำเลย ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาสั่งให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่แก้ไขเพิ่มเติมสัญญายอมนั้น
ศาลชั้นต้นสั่งในอุทธรณ์ว่า กรณีเช่นนี้หาใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๘ ไม่คำพิพากษาตามยอมจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตราดังกล่าวไม่รับอุทธรณ์
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า อุทธรณ์โจทก์ไม่ต้องห้าม ให้รับอุทธรณ์โจทก์แล้วพิพากษายืนตามคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ตั้งให้ทนายโจทก์มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยได้ และทนายโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ ๒ ศาลได้พิพากษาไปตามยอมแล้วคำพิพากษานั้นย่อมผูกมัดโจทก์ไม่ให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๘ เว้นแต่กรณีจะต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา ๑๓๘(๑)เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉลคดีนี้ทนายโจทก์มีอำนาจใช้ดุลพินิจที่ว่าข้อความและจำนวนเงินที่จะตกลงกับจำเลยนั้นเหมาะสมแล้วหรือไม่ ถ้าหากเห็นว่าจะเสียเปรียบหรือไม่สมควร ทนายโจทก์ก็มีอำนาจที่จะไม่ยอมตกลงและต่อรองได้ ถึงแม้จำเลยที่ ๒ จะมาบอกเล่าแก่ทนายโจทก์ไม่ตรงความจริง ทนายโจทก์ก็มีโอกาสใช้ดุลพินิจไตร่ตรองแล้วจึงตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ ๒ เช่นนี้ จะอ้างว่าเป็นการทำไปโดยจำเลยที่ ๒ ฉ้อฉลหาได้ไม่
พิพากษายืน

Share