คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทรัพย์ที่โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดมี 4 รายการแต่ละรายการราคา 80,000 บาท (หนี้จำเลยจะต้องชำระ 21,779.80 บาท)แต่โจทก์นำยึดบ้านเพียงรายการเดียว ซึ่งเป็นทรัพย์ที่จะนำยึดบางส่วนไม่ได้ทั้งเป็นบ้านที่จำเลยนำไปประกันสัญญาเงินยืมที่จำเลยทำไว้กับโจทก์จำเลยตีราคา 100,000 บาท อันเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่จะให้โจทก์บังคับเอากับทรัพย์ของจำเลยดังกล่าว หากจำเลยผิดสัญญาและขณะเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านหลังนี้จำเลยก็อยู่และได้ลงชื่อรับทราบการยึด แต่จำเลยก็มิได้คัดค้านหรือชี้แจง ให้โจทก์หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าจำเลยยังมีทรัพย์สินอื่นๆ อะไรบ้างที่มีราคาพอแก่จำนวนหนี้ตามคำพิพากษา ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ยึดทรัพย์สินของจำเลยเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามสัญญารับสภาพหนี้ โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมชำระเงิน๑๖,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าธรรมเนียมที่ศาลไม่คืนให้โจทก์ด้วย แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านของจำเลยหนึ่งหลัง ราคา ๘๐,๐๐๐ บาทในระหว่างประกาศขายทอดตลาด จำเลยนำเงินมาวางศาล ชำระหนี้เงินต้น ดอกเบี้ย กับค่าธรรมเนียม รวมเป็นเงิน ๒๑,๗๗๙ บาท ๘๐ สตางค์ส่วนค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขาย ร้อยละ ๓ ครึ่ง จำเลยขอชำระตามหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระตามหมายบังคับคดีคือ ๒๑,๗๗๙.๘๐ บาท ส่วนที่เกินกว่านี้ถือว่าโจทก์จะต้องรับผิด เพราะยึดทรัพย์ของจำเลยเกินกว่าจำนวนที่พอจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา อันเป็นการเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดี
โจทก์แถลงว่า โจทก์ไม่ทราบว่าทรัพย์ของจำเลยมีอะไรบ้างที่ยึดทรัพย์ดังกล่าวก็โดยจำเลยตราไว้ในหนังสือสัญญายืม และตีราคาไว้๑๐๐,๐๐๐ บาท นอกจากนี้จำเลยเป็นหนี้โจทก์หลายจำนวน รวมเป็นเงิน๕๐,๐๐๐ บาทเศษ ซึ่งจะต้องขอเฉลี่ย
ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยเสียค่าธรรมเนียมที่ยังไม่ได้เสียใน ๑๕ วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ข้อที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่หลายสำนวนและสำนวนดังกล่าวมิได้รวมพิจารณานั้น เห็นว่าโจทก์จะนำยึดทรัพย์สำนวนเดียวให้เพียงพอที่จะชำระหนี้ทุกสำนวนหาได้ไม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำขอหมายบังคับคดีของโจทก์ที่ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ของจำเลยมีทรัพย์อยู่ ๔ รายการแต่ละรายการราคา ๘๐,๐๐๐ บาทเท่ากัน แต่โจทก์นำยึดเพียงรายการเดียว คือบ้านเลขที่ ๙๗๔/๒ และเป็นทรัพย์ที่จะยึดเพียงบางส่วนไม่ได้ ทั้งเป็นทรัพย์ที่จำเลยนำไปประกันเงินยืมตามหนังสือสัญญายืมเงินรายนี้ และจำเลยตีราคาขณะนั้น ๑๐๐,๐๐๐ บาท อันเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่จะให้โจทก์บังคับเอากับทรัพย์ของจำเลยดังกล่าว หากจำเลยผิดสัญญานั้น และขณะที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดบ้านหลังนี้ จำเลยก็อยู่และได้ลงชื่อรับทราบการยึด แต่จำเลยก็มิได้คัดค้านหรือชี้แจงให้โจทก์หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่า จำเลยยังมีทรัพย์สินอื่น ๆ อะไรบ้างที่มีราคาพอแก่จำนวนหนี้ตามคำพิพากษา จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ยึดทรัพย์สินของจำเลยเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๔
พิพากษายืน

Share