คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2509/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดเครื่องเรือยนต์ซึ่งประกอบติดตั้งไว้สำหรับเรือยนต์ประมงอวนลากซึ่งมีระวางเกินกว่า 5 ตันผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์เครื่องเรือยนต์ดังกล่าว ในฐานะเป็นผู้รับซื้อฝากเรือยนต์ไว้จากภริยาจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ได้ให้จำเลยเช่าซื้อเครื่องยนต์ดังกล่าวและยังมิได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วน กรรมสิทธิ์จึงยังไม่โอนไปยังจำเลยและกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1332 ผู้ร้องจึงย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในเครื่องเรือยนต์ซึ่งตนจะมีสิทธิร้องขัดทรัพย์ได้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเครื่องยนต์ยี่ห้อคูโบต้า ขนาด ๔๕ แรงม้า เกียร์ทดแบบ๓ เอ็ม.จี.แซด เลขประจำเครื่อง ๓๗๕๙ พร้อมด้วยอุปกรณ์ ๑ ชุดอ้างว่าเป็นของโจทก์ ซึ่งจำเลยได้เช่าซื้อมาจากโจทก์
นายโอกี่ แซ่เอี้ย ยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดดังกล่าวเป็นของผู้ร้องใช้ประกอบอยู่ในเรือยนต์ประมงอวนลากชื่อ โอกี่ ๑ซึ่งผู้ร้องมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนเรือไทยเลขทะเบียน ๙๔๓๑๕มีระวางเกินกว่า ๕ ตัน และได้จดทะเบียนไว้ต่อนายทะเบียนกรมเจ้าท่าโดยผู้ร้องได้รับซื้อฝากจากนางกิมตัน พ่อค้า ตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤษภาคม๒๕๑๐ เป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท กำหนดไถ่ถอนภายใน ๑ ปี และได้ทำสัญญาจดทะเบียนการขายฝากต่อนายทะเบียนกรมเจ้าท่าโดยชอบด้วยกฎหมายนายกิมตัน พ่อค้า มิได้ทำการไถ่ถอนการขายฝากภายในกำหนด ๑ ปี ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เรือยนต์ดังกล่าว ขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้
โจทก์ให้การว่า เครื่องยนต์ที่ถูกยึดเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยโจทก์ให้นายใช้ พ่อค้าจำเลยเช่าซื้อไปเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๐๙จำเลยผิดสัญญา โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเครื่องยนต์คืนและศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยคืนเครื่องยนต์ดังกล่าวให้โจทก์ การที่จำเลยนำเครื่องยนต์ของโจทก์ไปมอบให้นางกิมตัน พ่อค้า ภริยาจำเลยนำไปประกอบเป็นเรือประมง แล้วจดทะเบียนต่อกรมเจ้าท่าตลอดจนนางกิมตันทำสัญญาขายฝากเรือประมงดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องนั้น โจทก์ไม่ทราบและไม่เคยให้ความยินยอม โจทก์เพิ่งทราบภายหลังฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยนำเครื่องยนต์ของโจทก์ไปประกอบเป็นเรือประมง แล้วจดทะเบียนชื่อนางกิมตันภริยาจำเลยเป็นเจ้าของ และนางกิมตันได้ขายฝากเรือประมงดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง ราคา ๑๕,๐๐๐ บาท โจทก์เห็นว่าจำเลย นางกิมตันและผู้ร้องกระทำโดยไม่สุจริตเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๒ กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตามเมื่อสัญญาเช่าซื้อยังมีผลผูกพัน เครื่องยนต์นั้นคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ การจำหน่ายจ่ายโอนเครื่องยนต์ระหว่างจำเลย นางกิมตันและผู้ร้อง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์เครื่องยนต์นั้น
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นทรัพย์ที่ใช้ประกอบติดเรือใช้เป็นเรือยนต์ประมง ย่อมตกเป็นส่วนควบกับตัวเรือ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ผู้เป็นเจ้าของเครื่องยนต์จะเรียกเอาราคาของ เมื่อผู้ร้องรับซื้อฝากเครื่องยนต์ไว้จากภริยาจำเลย แต่ภริยาจำเลยมิได้ไถ่ภายในกำหนดก่อนศาลพิพากษาให้จำเลยส่งมอบเครื่องยนต์ให้โจทก์ เครื่องยนต์ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ร้อง จึงมีคำสั่งให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๐๙ จำเลยได้เช่าซื้อเครื่องเรือยนต์พิพาทของโจทก์ไปแล้วผิดสัญญา โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเครื่องเรือยนต์พิพาทคืน ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเครื่องยนต์พิพาทให้โจทก์ แต่ปรากฏว่าจำเลยได้เอาเครื่องเรือยนต์พิพาทไปประกอบติดตั้งในเรือประมงอวนลากชื่อโอกี่ ๑ และเรือลำนี้ได้จดทะเบียนต่อกรมเจ้าท่า มีชื่อนางกิมตันภริยาจำเลยเป็นเจ้าของต่อมานางกิมตันได้นำเรือประมงดังกล่าวพร้อมด้วยเครื่องเรือยนต์พิพาทมาขายฝากไว้กับผู้ร้องเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๑๐ เป็นเงิน๑๕,๐๐๐ บาท และนางกิมตันมิได้ทำการไถ่คืนภายในเวลาที่กำหนดในสัญญา ซึ่งครบกำหนดก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเครื่องเรือยนต์พิพาทคืนปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่าผู้ร้องมีสิทธิจะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์รายนี้ได้หรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า ในขณะที่นางกิมตันภริยาจำเลยทำการขายฝากเรือของนางกิมตันไว้กับผู้ร้องนั้น ยังอยู่ในระหว่างระยะเวลาแห่งการเช่าซื้อที่จำเลยเช่าซื้อเครื่องเรือยนต์พิพาทมาจากโจทก์ และจำเลยยังมิได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วน เมื่อเป็นเช่นนี้ กรรมสิทธิ์ในเครื่องเรือยนต์พิพาทนั้นจึงยังไม่ตกไปเป็นของจำเลย นางกิมตันภริยาจำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในเครื่องเรือยนต์พิพาท และจำนำเครื่องเรือยนต์พิพาทอันตนมิได้มีกรรมสิทธิ์นั้นไปขายฝากแก่ผู้ร้องมิได้ ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในเครื่องเรือยนต์พิพาทเช่นกัน เพราะผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนและกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๓๒ ฉะนั้น ปัญหาที่ว่า ผู้ร้องจะรับซื้อฝากเครื่องเรือยนต์พิพาทไว้จากนางกิมตันโดยสุจริตหรือไม่ จึงไม่เกิดขึ้น และไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปว่าเครื่องเรือยนต์พิพาทเป็นส่วนควบของเรือประมงดังกล่าวตามที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์แต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งและคำพิพากษาต้องกันมาให้ปล่อยเครื่องเรือยนต์พิพาทคืนแก่ผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้อง

Share