แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยสี่คนกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง มีอาวุธเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้กัน จนเป็นเหตุให้มีบุคคลถึงแก่ความตายสองคนและได้รับอันตรายสาหัสอีกคนหนึ่ง ผู้ตายคนหนึ่งถึงแก่ความตายเพราะถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยิงในการชุลมุนต่อสู้กันนั้นเช่นนี้ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทคือ จำเลยทุกคนผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 294, 299, 83เฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 288 อีกบทหนึ่งซึ่งจะต้องลงโทษจำเลยสองคนนี้ตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้ให้ถูกต้องได้ (แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ในคดีนี้กับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องฝ่ายหนึ่ง กับนายช้อย พันธุรัตน์ นายชด พันธุรัตน์ กับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีกฝ่ายหนึ่ง เข้าร่วมชุลมุนต่อสู้กันเป็นเหตุให้นายช้อย พันธุรัตน์และนายชด พันธุรัตน์ ถูกยิงและถูกแทงถึงแก่ความตาย และนายสง่า อ่อมพยัพ ซึ่งมิได้เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้นั้นด้วยถูกกระสุนปืนของผู้เข้าร่วมชุลมุนต่อสู้ถึงบาดเจ็บสาหัส และในการชุลมุนต่อสู้กันนี้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ กับพวก ได้ร่วมกันใช้ปืนยิงนายช้อย จำเลยที่ ๔ใช้มีดปลายแหลมแทงนายชดโดยเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้นายช้อยและนายชดถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุนั้นเอง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๔, ๒๙๙, ๒๘๘, ๘๓, ๙๐, ๙๑
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสี่ได้เข้าร่วมชุลมุนต่อสู้จนเป็นเหตุให้มีคนตายและบาดเจ็บสาหัส และฟังว่า จำเลยที่ ๑และที่ ๒ เป็นคนใช้ปืนยิงนายช้อยถึงแก่ความตายพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๔, ๒๙๙, ๒๘๘, ๘๓ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นบทหนัก ส่วนจำเลยที่ ๓ และที่ ๔มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๔, ๒๙๙, ๘๓ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๙๔ ซึ่งเป็นบทหนัก
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา และฐานร่วมชุลมุนในการต่อสู้เป็นเหตุให้คนตายและบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๔, ๒๙๙ กระทงหนึ่ง และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๘๓ อีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา ๒๘๘, ๘๓ซึ่งเป็นกระทงหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกาต่อมาว่า ไม่ได้ใช้ปืนยิงนายช้อยผู้ตายโดยเจตนาฆ่าจำเลยจึงควรมีความผิดฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป เป็นเหตุให้มีบุคคลถึงแก่ความตายโดยการกระทำในการชุลมุนต่อสู้นั้นเท่านั้น
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่างทั้งสองว่า จำเลยที่ ๑และที่ ๒ ได้เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ตามฟ้อง จนเป็นเหตุให้คนตายและบาดเจ็บสาหัส และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นคนยิงนายช้อยถึงแก่ความตายแต่เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองนี้เป็นการกระทำต่างกรรมกันระหว่างความผิดฐานเข้าร่วมชุลมุน ในการต่อสู้เป็นเหตุให้คนตายและบาดเจ็บสาหัส กับความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนานั้นศาลฎีกาเห็นว่า หาต่างกรรมกันไม่เพราะความผิดที่จำเลยทั้งสองก่อขึ้นในคดีนี้เกิดขึ้นจากการที่จำเลยทั้งสองเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่ ๓ คนขึ้นไป และในการเข้าร่วมชุลมุนนั้นเอง จำเลยทั้งสองได้เป็นผู้ฆ่านายช้อย กับยังมีนายชดถึงแก่ความตาย และนายสง่าได้รับอันตรายสาหัสด้วย การที่นายช้อยถูกจำเลยฆ่าตาย และนายชดถึงแก่ความตายกับนายสง่าได้รับอันตรายสาหัส จึงเกิดขึ้นเพราะมีการชุลมุนต่อสู้กันนั่นเองจะแยกเอาการที่จำเลยทั้งสองฆ่านายชดเป็นอีกกรรมหนึ่งต่างหากจากการที่จำเลยทั้งสองเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้หาชอบไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๐
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๔, ๒๙๙, ๒๘๘ และ ๘๓ ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นบทหนัก