คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2122/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นสามี จำเลยที่ 2 เป็นภรรยา แต่ไม่ได้ จดทะเบียนสมรสกันจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์เพื่อซื้อบ้านมาอยู่อาศัยด้วยกันและซื้อทรัพย์สินอื่นมาใช้ร่วมกัน เมื่อจำเลยทั้งสองเลิกร้างกัน จำเลยที่ 2 ได้ฟ้องแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับเอาประโยชน์จากการที่จำเลยที่ 1 ไปกู้เงินโจทก์และยินยอมให้จำเลยที่ 1 กระทำไปในฐานะตัวแทนอันมีผลให้จำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของบ้านและทรัพย์สินอื่นด้วย ฉะนั้นแม้ในสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์จะมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้คนเดียวก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็ต้องรับผิดในฐานะเป็นตัวการของจำเลยที่ 1 ในการกู้เงินโจทก์รายนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1
เมื่อจำเลยกู้เงินของสมาคมโจทก์ คือ เอาเงินของสมาคมโจทก์ไปจำเลยก็มีหน้าที่ต้องใช้เงินคืนแก่สมาคมโจทก์ จำเลยจะโต้แย้งว่าสมาคมโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้เงิน ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นไม่ได้
(อ้างฎีกาที่ 1804/2500)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้จดทะเบียนเป็นสมาคม จำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ได้ทำมาหาเลี้ยงชีพร่วมกันอย่างเป็นหุ้นส่วนโดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการทรัพย์สิน จำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินโจทก์ไป ๒ ครั้ง รวมเป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท เพื่อเอาไปซื้อบ้านและทำมาหาเลี้ยงชีพเมื่อกู้ไปแล้วจำเลยไม่เคยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเลย โจทก์ทวงถามจำเลยก็เพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระต้นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยที่ค้าง ๓๓,๓๗๕ บาท และดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ตั้งแต่ฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าสมาคมโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้ยืมเงินจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยทั้งสองไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์ จำเลยที่ ๑ กับโจทก์ร่วมกันทำสัญญาว่าจำเลยที่ ๑ กู้ยืมเงินโจทก์เพื่อกีดกันไม่ให้จำเลยที่ ๒ ได้รับแบ่งทรัพย์สินที่หามาได้ร่วมกันสัญญากู้จึงไม่ผูกพันจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระต้นเงินจำนวน๘๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ยที่ค้างจนถึงวันฟ้อง ๓๓,๓๗๕ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า
๑. จำเลยที่ ๑ กู้เป็นการเฉพาะตัวของจำเลยที่ ๑ เองจำเลยที่ ๒ มิได้ร่วมสัญญากู้ด้วย และจำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนในการกู้
๒. สมาคมโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้เงิน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยทั้งสองมิใช่สามีภรรยากันตามกฎหมายเพราะมิได้จดทะเบียนสมรส และการกู้เงินรายนี้จำเลยที่ ๑ ลงชื่อเป็นผู้กู้แต่คนเดียวก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความชัดแจ้งว่าจำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์ไปซื้อบ้านและทรัพย์สินอย่างอื่นในระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ ๒ โดยเฉพาะบ้านใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วยกัน ถือได้ว่าเป็นการกู้เพื่อประโยชน์แก่จำเลยทั้งสองและจำเลยที่ ๒ ยอมรับเอาประโยชน์จากการที่จำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์ไปซื้อของ ดังจะเห็นได้ว่าจำเลยที่ ๒ ฟ้องขอแบ่งบ้านและทรัพย์สินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๑ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ กระทำไปในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ ๒ อันเป็นผลให้จำเลยที่ ๒ มีส่วนเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์สินดังกล่าว ฉะนั้น แม้ในสัญญากู้จะไม่ปรากฏชื่อจำเลยที่ ๒ เป็นผู้กู้ จำเลยที่ ๒ ก็ต้องรับผิดในฐานะเป็นตัวการของจำเลยที่ ๑ ในการกู้เงินโจทก์รายนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑
ที่จำเลยฎีกาข้อ ๒ ว่า สมาคมโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้เงินการให้กู้เงินนอกเหนือวัตถุประสงค์ สมาคมโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อจำเลยได้กู้เงินของสมาคมโจทก์คือเอาเงินของสมาคมโจทก์ไป จำเลยก็มีหน้าที่ต้องใช้คืนให้แก่สมาคมโจทก์ผู้เป็นเจ้าของเงิน จำเลยจะโต้แย้งอำนาจของสมาคมโจทก์ว่าไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้เงิน ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นไม่ได้ ดังได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๐๔/๒๕๐๐ ระหว่าง บริษัทนวรัตน์ จำกัด โจทก์ นายวิเชียร เลขยานนท์ จำเลยเป็นบรรทัดฐานไว้แล้ว
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย โจทก์มิได้แก้ฎีกา จึงไม่ให้ค่าทนายความชั้นฎีกา

Share