คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกรวม 2 คน ใช้อาวุธปืนขู่ และใช้กำลังกอดคอบังคับให้ผู้เสียหายเข้าป่าข้างทาง แล้วร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผลัดเปลี่ยนกันจนสำเร็จความใคร่ ย่อมมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรา โดยไม่วินิจฉัยว่า การกระทำมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงไว้ด้วยหรือไม่ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ต้องพิพากษาแก้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยกระทำความผิดฐานมีอาวุธและพวกร่วมกันฉุดคร่าพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร ฐานชิงทรัพย์ ฐานกระทำอนาจารและฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๗๘, ๒๘๑, ๒๘๔, ๓๓๙, ๘๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานชิงทรัพย์และฐานข่มขืนกระทำชำเรายังไม่เข้าลักษณะเป็นการโทรมหญิง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๗๘, ๒๘๔, ๘๓ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๗๖ ซึ่งเป็นบทและกระทงหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐, ๙๑ จำคุก ๓ ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง ส่วนโจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการโทรมหญิง ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ข้อหาชิงทรัพย์ไม่ได้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดเหมือนดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนการกระทำของจำเลยจะเป็นในลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยโดยคดีไม่มีปัญหาเฉพาะเกี่ยวกับการยอมความได้หรือไม่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๑ ทั้งศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดโทษมาเหมาะสมแก่ความผิดแล้ว พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมาว่าข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างฟังมามีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๑ แต่มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษให้หนักขึ้น
ศาลฎีกาวินิจฉัย คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเหมือนกับศาลชั้นต้น ว่าจำเลยกับนายแก้วพวกของจำเลยใช้อาวุธปืนขู่และใช้กำลังช่วยกันกอดคอบังคับนางบุญมีผู้เสียหายเข้าป่าข้างทาง แล้วร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผลัดเปลี่ยนกันจนจำเลยสำเร็จความใคร่ ๒ ครั้ง ส่วนนายแก้วสำเร็จความใคร่ ๑ ครั้ง ดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์ของจำเลยกับพวกที่กระทำต่อผู้เสียหายนั้นมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๑ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำมิใช่เป็นการโทรมหญิงก็ดี ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือไม่ก็ดี ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า การกระทำของจำเลยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๑ อีกด้วยแต่มาตรา ๒๘๑ นี้มิใช่บทกำหนดการกระทำอันเป็นความผิดและกำหนดโทษ จึงไม่ต้องนำมาเป็นบทลงโทษจำเลย ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษและกำหนดโทษ จำเลยต้องกันมาแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไข ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share