แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นพนักงานตีตราไม้ ไม่ใช่พนักงานป่าไม้ผู้มีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ จำเลยได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ผู้มีอำนาจจับกุม แล้วได้ทำการจับกุมผู้เสียหายในเรื่องไม้ที่ผู้เสียหายมีไว้ในครอบครองและยังเรียกเงินจากผู้เสียหายด้วยการกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยซึ่งมิใช่เป็นเจ้าพนักงานได้แสดงตนเป็นพนักงานป่าไม้อำเภอประทาย มีอำนาจตรวจจับผู้กระทำผิดพระราชบัญญัติป่าไม้ แล้วเข้ากระทำการเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ โดยทำการจับกุมนายขันธ์ สอนสมัยเป็นผู้ต้องหาว่ามีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และได้เรียกร้องเอาเงินจากนายขันธ์สอนสมัย ๑๐๐ บาท ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๕ และนับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาดำที่ ๑๗๓๓/๒๕๑๒ ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๕ ให้จำคุก ๓ เดือน คดีที่ขอให้นับโทษต่อยังไม่ตัดสินจึงนับโทษต่อให้ไม่ได้ ให้ยกคำขอโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ขณะนายขันธ์ ผู้เสียหายกำลังเก็บไม้ซึ่งซื้อมาจากผู้อื่นจำเลยเข้ามาถามว่าซื้อไม้มาจากไหน เสียภาษีหรือเปล่าผู้เสียหายบอกว่าไม่ได้เสีย จำเลยบอกให้ผู้เสียหายไปซื้อกระดาษฟุลสแก๊ปมาแล้วจำเลยเขียนข้อความและอ่านให้ผู้เสียหายฟังต่อหน้าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านผู้เสียหายฟังไม่รู้เรื่อง แต่จับใจความได้ว่าของกลางริบ แล้วจำเลยให้ผู้เสียหายเซ็นชื่อบอกให้ผู้เสียหายเอาเงินไปเสียที่อำเภอ ๑,๐๐๐ บาท ผู้เสียหายขอให้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านชวนจำเลยไปกินข้าวกลางวันที่บ้านผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ระหว่างกินเลี้ยงกันจำเลยว่าต้องการเงิน ๕๐๐ บาท ผู้เสียหายไปเอาเงินมา ๑๐๐ บาท มอบให้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจะเอาเงินมอบให้จำเลย จำเลยว่าซื้อเหล้ายากินกันดีกว่า จึงได้เอาเงินนั้นซื้อของเหล่านั้นกินกันโดยผู้เสียหายกลับไปบ้านก่อนไม่ได้ร่วมกินด้วยต่อมาผู้เสียหายทราบว่าจำเลยไม่เอาเรื่องแล้วจึงวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการแสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ผู้มีอำนาจจับกุมซึ่งความจริงจำเลยเป็นพนักงานตีตราไม้ หาใช่เจ้าพนักงานป่าไม้ผู้มีอำนาจจับกุมอย่างไรไม่ ส่วนการกระทำของจำเลยที่ได้ปฏิบัติไป จะถือว่าได้กระทำการเป็นเจ้าพนักงานขึ้นแล้วหรือไม่ก็เห็นว่าการที่จำเลยเข้ามาซักถามนายขันธ์ แล้วสั่งให้นายขันธ์ไปเรียกตัวผู้ใหญ่บ้านมาร่วมรับรู้นายขันธ์ไปพาเอานายบุดดี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาแทนแล้วจำเลยทำเป็นบันทึกจับกุมขึ้นอ่านให้ฟังและสั่งให้นายขันธ์เอาเงินไปเสียที่อำเภอนั้นฟังได้ว่าเป็นการที่ทำหน้าที่ของเจ้าพนักงานนั้นแล้ว แม้จะไม่ได้ความชัดจากถ้อยคำพยานว่าบันทึกจับกุมนั้นลงข้อความว่าอย่างไร เพราะจำเลยอ่านให้นายขันธ์ฟังเบา ๆ คนเดียว จนนายขันธ์ฟังความรู้เรื่องแต่เพียงว่าไม้ของกลางริบนั้นก็ตาม ก็เป็นการกระทำที่แสดงออกให้นายขันธ์และผู้มาอยู่รู้เห็นด้วย ทราบว่าได้มีการจับกุมกันแล้วการกระทำของจำเลยจึงครบองค์ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๕ ดังที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยนั้นแล้ว
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่าจำเลยมีความผิดและให้ลงโทษดังที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาไว้แล้วนั้น