คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1282/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขับเรือแล่นมาด้วยความเร็วสูงและต่างแล่นมาตรงกลางลำน้ำ เมื่อใกล้จะสวนกันเรือทั้งสองแล่นเกือบเป็นเส้นตรงเข้าหากันในลักษณะน่ากลัวจะเกิดโดนกัน แม้จำเลยที่ 2 จะเบนหลีกไปทางขวามือ อันเป็นการปฏิบัติตามกฎกระทรวง (พ.ศ. 2498) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2497 ข้อ 19 (ก) ก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ก็มิได้ลดความเร็ว กลับขับเรือเบนเข้าเส้นทางเรือของตนทางด้านขวาในระยะกระชั้นชิด ส่วนจำเลยที่ 1 ก็มิได้ลดความเร็วทั้งมิได้เบนเข้าเส้นทางเรือของตนทางด้านขวา เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนกันแต่กลับคงแล่นตรงไป เรือจำเลยที่ 2 จึงชนตรงกราบเรือด้านขวาของเรือจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้โดยสารในเรือ จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายและบาดเจ็บเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยทั้งสองกระทำด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยทั้งสองซึ่งขับขี่เรือยนต์สวนทางกันจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จำเลยทั้งสองจึงต้องมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๑๑ จำเลยทั้งสองกระทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกระทง คือ ก. บังอาจควบคุมเรือยนต์เพลายาวเรือ ๒ ตอน และเรือยนต์เพลายาวเรือแปะ โดยไม่ได้รับประกาศนียบัตรแสดงว่ามีความรู้จะกระทำเช่นนั้นได้ตามกฎหมาย ข. จำเลยที่ ๑ ได้ขับขี่และควบคุมเรือยนต์ดังกล่าวแล่นไปตามแม่น้ำนครนายกจากตลาดองครักษ์มุ่งไปทางประตูน้ำบางเม่า และจำเลยที่ ๒ จากประตูน้ำบางเม่ามุ่งไปทางตลาดองครักษ์โดยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นพึงมีตามวิสัยและพฤติการณ์ แต่ทั้งสองหาได้ใช้ความระมัดระวังเพียงพอไม่ และโดยไม่มีความชำนาญในการควบคุมเรือยนต์โดยเมื่อเรือทั้งสองแล่นมาใกล้จะสวนกัน จำเลยทั้งสองต่างไม่เบาเครื่องยนต์ให้ช้าลง และมิได้บังคับเรือให้หลีกห่างกัน เป็นเหตุให้เรือทั้งสองชนกันโดยแรง จนเรือล่มเป็นเหตุให้นางสาวทองเริ่มหรือทองม้วน ใจเย็นเด็กหญิงทองหล่อ ใจเย็น ซึ่งโดยสารมาในเรือลำจำเลยที่ ๑ ได้รับอันตรายถึงตายและนางสาวทองล้วน ใจเย็น ซึ่งโดยสารมาในเรือลำเดียวกันนั้นได้รับอันตรายถึงบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๑, ๓๙๐, ๙๐, ๙๑ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ มาตรา ๒๗๗, ๒๘๒ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำโดยแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๓
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพข้อหาควบคุมเรือยนต์โดยไม่มีประกาศนียบัตรข้อหาเดียว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองควบคุมเรือยนต์โดยไม่มีประกาศนียบัตร และโดยความประมาท กล่าวคือ เมื่อเรือจำเลยทั้งสองแล่นมาห่างกัน ๑๐ วา จำเลยที่ ๒ ได้ขับเบนหัวไปทางขวาเพื่อเข้าสู่เส้นทางเดินเรือของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ซึ่งอาจลดความเร็วลงเพื่อให้เรือจำเลยที่ ๒ แล่นผ่านเข้าสู้เส้นทางได้ มิได้ลดความเร็วลง เป็นเหตุให้เรือจำเลยที่ ๒ พุ่งเข้าชนเรือจำเลยที่ ๑ ตรงกลางลำทางขวาจมลงนางสาวทองเริ่มหรือทองม้วน ใจเย็น และเด็กหญิงทองหล่อ ใจเย็น ได้รับอันตรายถึงแก่ความตาย และนางสาวทองม้วนได้รับบาดเจ็บ พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๙๐ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ มาตรา ๒๗๗, ๒๘๒ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทยแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๓ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ ซึ่งเป็นกระทงที่หนักจำคุกจำเลยคนละ ๓ ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เรือของจำเลยทั้งสองชนกันในเส้นทางเดินเรือของจำเลยที่ ๒ เมื่อแล่นตรงเข้าหากัน จำเลยที่ ๒ หักหัวเรือหลีกไปทางขวามือทางฝั่งตะวันออกของทางเดินจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นการหลีกถูกต้องตามข้อบังคับการเดินเรือ แม้จำเลยที่ ๒ จะเบาเครื่องก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการชนกัน จึงเป็นความประมาทของจำเลยที่ ๑ ฝ่ายเดียว ที่เดินเรือผิดทางพิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ ๒ ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๐, ๒๙๑ แต่มีความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖มาตรา ๒๗๗, ๒๘๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๓ ที่เป็นโทษกระทงเบานั้น ศาลชั้นต้นยังไม่ได้พิพากษากำหนดโทษจำเลยที่ ๒ ไว้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นกำหนดโทษใหม่ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๒ ในความผิดฐานนี้ไปเลยโดยปรับเป็นเงิน ๖๐๐ บาท แต่มีเหตุบรรเทาโทษโดยรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงปรับ ๓๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามมาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้นี้แล้วให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับร่องรอยความบุบสลายของเรือยนต์ทั้งสองลำปรากฏตามบันทึกพนักงานสอบสวนหมาย จ.๙ ว่า เรือของจำเลยที่ ๑ มีร่องรอยถูกชนเสียหายคือ บังใบด้านซ้ายแตกฉีกขาดยาวประมาณ ๓ ศอก กราบขวาตรงบังใบฉีกยาวประมาณ ๑ ฝ่ามือ ที่พื้นเรือไม้รองพื้นหัก ๒ อัน ถังน้ำมันด้านซ้ายบุบโตประมาณ ๑ ฝ่ามือ ยาวประมาณ ๑ คืบ ส่วนเรือของจำเลยที่ ๒ มีรอยชนห่างหัวเรือ ๑ คืบ ทางด้านซ้ายใต้กราบประมาณ ๑ เกรียกเป็นรอยแตก ไม้หายไปยาวประมาณ ๑ คืบ กว้างประมาณ ๑ ฝ่ามือ
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุเรือชนกันนั้น เรือของจำเลยที่ ๑ กำลังแล่นอยู่กลาง ๆ สายน้ำ ขณะนั้นปรากฏว่าน้ำกำลังลงน้ำในแม่น้ำนครนายกจึงไม่กว้างและลึกประมาณ ๓ ศอก เมื่อนางสาวทองล้วนตกน้ำแล้วได้ยืนเกาะเรืออยู่ น้ำลึกแค่คอเท่านั้น พันตำรวจตรีสุนทรพนักงานสอบสวนได้ทำแผนที่เกิดเหตุตามเอกสารหมาย จ.๑๐ จำเลยที่ ๒ และนางสาวทองล้วนเป็นผู้นำชี้ที่เกิดเหตุก็ปรากฏว่าเรือทั้งสองลำต่างแล่นมากลางแม่น้ำและชนกันกลางแม่น้ำ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเรือจำเลยที่ ๑ และเรือจำเลยที่ ๒ ต่างแล่นอยู่กลางแม่น้ำนครนายกด้วยความเร็วตรง หรือเกือบตรงเข้าหากันในลักษณะน่ากลัวจะเกิดโดนกัน จำเลยที่ ๒ จึงหลีกไปทางขวามือของจำเลยที่ ๒ ตามกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๔๙๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๑๙ (ก) ซึ่งบัญญัติว่า “เมื่อเรือกล (เรือเดินด้วยเครื่องจักรกล) แล่นตรงหรือเกือบตรงเข้าหากันในลักษณะที่น่ากลัวจะเกิดการโดนกัน ให้เรือแต่ละลำเปลี่ยนทางเดินหลีกไปทางขวามือของตน เพื่อเรือแต่ละลำจะได้หลีกผ่านทางกราบซ้ายซึ่งกันและกัน ฯลฯ” แต่เรือจำเลยที่ ๒ เปลี่ยนทางเดินหลีกไปทางขวาเมื่อเรือทั้งสองลำแล่นเข้ามาใกล้กันมากและแล่นมาด้วยอัตราความเร็วสูง ทั้งเรือจำเลยที่ ๑ ก็มิได้เปลี่ยนทางเดินหลีกไปทางขวาของเรือจำเลยที่ ๑ ที่จำเลยที่ ๒ นำสืบว่าก่อนถึงที่เกิดเหตุเห็นเรือจำเลยที่ ๑ขับแล่นสวนทางมาห่างฝั่งตะวันออกประมาณ ๓ วาเศษ ส่วนจำเลยที่ ๒ ขับเรือห่างฝั่งตะวันออก ๒ วาเศษ เมื่อใกล้จะสวนทางกัน จำเลยที่ ๑ ได้เบนหัวเรือเข้ามาทางฝั่งตะวันออกจนหัวเรือทั้งสองตรงกัน จำเลยที่ ๒จึงหักหัวเรือหลบเข้าฝั่งตะวันออก เรือจำเลยที่ ๑ จึงชนเรือจำเลยที่ ๒ ทั้งเรือจำเลยที่ ๑ กระแทกกับกราบเรือของจำเลยที่ ๒ ด้านซ้าย แล้วเรือจำเลยที่ ๒ แฉลบไปติดตลิ่งด้านตะวันออก ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าเรือแล่นมาชนกันในลักษณะดังที่จำเลยที่ ๒ นำสืบดังกล่าวแล้วร่องรอยความบุบสลายของเรือทั้งสองจะไม่เป็นอย่างที่พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ และนางสาวทองเริ่ม เด็กหญิงทองหล่อก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บถึงแก่ความตายดังกล่าวข้อนำสืบของจำเลยที่ ๒ จึงรับฟังเป็นจริงไม่ได้ สรุปแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ ขับเรือด้วยความเร็วสูง ขณะที่เรือของจำเลยที่ ๒ จะสวนทางกับเรือของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ลดความเร็วและขับเรือเบนหลีกไปทางขวา เพื่อเข้าเส้นทางเดินเรือของจำเลยที่ ๒ ในระยะกระชั้นชิด และจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ลดความเร็วของเรือจำเลยที่ ๑ ลง ทั้งไม่ได้เปลี่ยนทางเดินหลีกไปทางขวา แต่ได้แล่นเรือตรงไปด้วยความเร็ว อันเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ซึ่งขับขี่ควบคุมเรือยนต์สวนทางกันจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ แต่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ หาได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอไม่เป็นเหตุให้เรือของจำเลยที่ ๒ ชนเรือจำเลยที่ ๑ ทำให้นางสาวทองเริ่มหรือทองม้วนและเด็กหญิงทองหล่อถึงแก่ความตาย นางสาวทองล้วนได้รับอันตรายถึงบาดเจ็บ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีโดยลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามศาลชั้นต้น

Share