แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สิทธิของผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมอันยังมิได้จดทะเบียนที่มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ตามมาตรา 1299 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นถ้าคู่ความมิได้ตั้งประเด็นยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำฟ้องคำให้การย่อมไม่เป็นประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยปรับแก่คดีได้ทั้งไม่ใช่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปทำลายพืชผลของโจทก์ในที่ดินตามโฉนดที่ ๒๑๗๗ ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ขอให้ขับไล่จำเลยห้ามเข้าเกี่ยวข้อง และให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การ เพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องเดิมเป็นของบิดามารดาจำเลย ซึ่งได้ปกครองและถือตนเป็นเจ้าของมาโดยสงบเปิดเผยเป็นเวลาติดต่อกันมาไม่ต่ำกว่า ๕๐ ปีแล้วได้แจ้งการครอบครองไว้แล้ว เมื่อบิดาจำเลยตาย ที่ดินตกมาเป็นของมารดา ๆ ได้ยกให้จำเลย ๆ ก็เข้าครอบครองทำประโยชน์ต่อมาจำเลยจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยทางครอบครองปรปักษ์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า บิดามารดาจำเลยและจำเลยไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาททั้งไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นเชื่อว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมาด้วยความสงบเปิดเผยอย่างเป็นเจ้าของมาแต่ครั้งบิดามารดากว่า ๒๐ ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ความเสียหายของโจทก์เกี่ยวกับพืชผลในที่ดินพิพาทฟังไม่ได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์ และพิพากษาตามฟ้องแย้งว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในทางครอบครองเกิน ๑๐ ปีตามมาตรา ๑๓๘๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
โจทก์อุทธรณ์ทั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริต แม้จำเลยได้กรรมสิทธิ์มาโดยการครอบครอง ก็ยกขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๒๙๙ โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของพืชผลจึงไม่ได้รับความเสียหาย จำเลยจึงไม่ต้องใช้ให้ พิพากษาแก้เป็นว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดรายพิพาท จำเลยบุกรุกเข้าไปทำความเสียหายพืชผลของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินที่โจทก์ฟ้อง บิดามารดาจำเลยได้ปกครองโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมานานจำเลยก็ครอบครองต่อมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า ๕๐ ปี จำเลยจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองปรปักษ์ โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งเพียงว่า บิดามารดาจำเลยและจำเลยไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาทนี้เลย โจทก์ไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ฟ้องแย้งเลยว่าแม้บิดามารดาจำเลยและจำเลยได้ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ไปแล้วก็ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์มิได้ เพราะโจทก์เป็นผู้รับโอนโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริตแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรค ๒ ปัญหาข้อนี้จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีนี้ และทั้งไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นและวินิจฉัยว่า แม้จำเลยจะครอบครองปรปักษ์ก็ไม่อาจยกขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ตามมาตรา ๑๒๙๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ประเด็นในคดีนี้คงมีเพียงว่า บิดามารดาจำเลยและจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินมากว่า ๑๐ ปีจริงหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยเชื่อพยานหลักฐานฝ่ายจำเลยว่า บิดามารดาจำเลยและจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ที่พิพาทมาเป็นเวลา ๔๐ ปี จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท
พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น