คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 660/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รถยนต์บรรทุกเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1มีหน้าที่ขับรถคันนี้ วันเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ขับรถคันนี้ไปส่งของที่โกดังของ ท. เมื่อเอาของลงเสร็จแล้วได้จอดรถทิ้งไว้ที่โกดังนั้น ตัวไปเสียที่อื่นโดยทิ้งกุญแจรถเสียบไว้ในที่สตาร์ทรถ ย. ซึ่งเป็นผู้จัดกิจการของจำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 3 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีหน้าที่ขับรถไปดูรถ มิได้สั่งให้ขับรถกลับมา จำเลยที่ 3 ขับรถมาโดยพลการจนเกิดชนกับรถคันอื่นดังนี้ จะถือว่าเป็นการกระทำในทางการที่จ้างไม่ได้จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 3 และการกระทำของจำเลยที่ 2 นั้น แม้จะไม่เป็นการรอบคอบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นผลให้เกิดการละเมิดขึ้นโดยตรง จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 3 เหมือนกัน

ย่อยาว

โจทก์ทั้ง ๒ สำนวนฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกเลขทะเบียน ช.บ.๐๕๔๒๑ จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างและตัวแทนของจำเลยที่ ๑มีหน้าที่ควบคุมดูแลรักษาและขับรถบรรทุกดังกล่าว จำเลยที่ ๓ ก็เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ได้ขับรถดังกล่าวบรรทุกสินค้าไปส่งให้บริษัทไทยวาเทรดดิ้ง จำกัด ตามทางการที่จ้าง เมื่อส่งสินค้าแล้ว ยังไม่นำรถกลับมา จำเลยที่ ๑ จึงสั่งให้จำเลยที่ ๓ ไปตามและให้นำรถกลับมาจำเลยที่ ๓ ไปตามจำเลยที่ ๒ ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ไม่อยู่ที่รถและทิ้งกุญแจสวิชรถไว้ที่รถนั้น จำเลยที่ ๓ จึงขับรถนั้นเพื่อกลับสำนักงาน จำเลยที่ ๑จำเลยที่ ๓ ขับรถมาด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้รถที่ขับชนกับรถยนต์ ก.ท.ษ.๐๓๘๙ ซึ่งแล่นสวนทางมา ผู้โดยสารในรถ ก.ท.ษ.๐๓๘๙ตาย ๘ คน บาดเจ็บสาหัส ๑ คน จำนวนคนที่ตายมีนายเพียวเทียม แซ่ลิ้มสามีและบิดาของโจทก์ในสำนวนที่ ๑ และนายย่งปิน แซ่ลิ้ม สามีและบิดาของโจทก์ในสำนวนที่ ๒ รวมอยู่ด้วย เหตุที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๒ ด้วยที่จอดรถและทิ้งกุญแจไว้ที่รถจำเลยที่ ๓ จึงขับรถไปได้ ขอให้ร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ ๑ ให้การรับว่า เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุก ช.บ.๐๕๔๒๑ จริงและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๒ จริงส่วนจำเลยที่ ๓ มิได้เป็นลูกจ้างหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในกิจการของจำเลยที่ ๑ อย่างใด จำเลยที่ ๒ ได้ขับรถบรรทุกไปตามทางการที่จ้างจริง จำเลยที่ ๑ ไม่เคยสั่งการให้จำเลยที่ ๓ ไปติดตามและให้นำรถกลับ จำเลยที่ ๓ กระทำไปโดยพลการ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ได้ขับรถไปส่งของให้บริษัทไทยวาเทรดดิ้ง จำกัด จำเลยที่ ๑ ไม่เคยสั่งให้จำเลยที่ ๒ ต้องควบคุมและขับรถกลับไปสำนักงาน และไม่เคยสั่งให้จำเลยที่ ๓ ไปติดตามและนำรถกลับ จำเลยที่ ๓ บังอาจขึ้นไปนั่งบนรถและลักขับรถจากที่จอดในขณะที่จำเลยที่ ๒ ไม่อยู่ โดยจำเลยที่ ๒ มิได้อนุญาตหรือมอบหมายให้ทำจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่จำเลยที่ ๓ ได้ก่อขึ้น
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ และไม่เคยรับคำสั่งจากจำเลยที่ ๑ ให้ไปติดตามรถ จำเลยที่ ๓ มิได้ประมาทเลินเล่อเหตุที่ชนกันเป็นเพราะผู้ขับรถ ก.บ.ษ.๐๓๘๙ เป็นฝ่ายประมาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๓ ผู้เดียวใช้ค่าเสียหาย
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้จำเลยที่ ๑, ๒ รับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๓
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ขอให้จำเลยที่ ๑, ๒ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๓ ด้วย
ศาลฎีกาฟังว่ารถบรรทุก ช.บ.๐๕๔๒๑ เป็นของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ขับรถคันนี้ วันเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ ขับรถคันนี้บรรทุกมันเส้นจากจังหวัดระยองมาส่งที่โกดังของบริษัทไทยวาเทรดดิ้ง จำกัดเมื่อเอามันลงเสร็จแล้วได้จอดรถไว้ที่โกดังนั้น โดยทิ้งกุญแจรถเสียบไว้ในที่สตาร์ทรถ ต่อมาจำเลยที่ ๓ ได้มาขับรถนั้นไป แล้วเกิดชนกับรถฟอร์ดเทมส์ก.ท.ษ.๐๓๘๙ ซึ่งขับสวนทางมา คนโดยสารในรถฟอร์ดเทมส์ตาย ๘ คนมีนายเพียวเทียมและนายย่งปิดด้วย พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ ๓ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตายและบาดเจ็บสาหัส จำเลยที่ ๓รับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษ คดีถึงที่สุดแล้ว ถึงแม้จะฟังว่าจำเลยที่ ๓เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ ก็ไม่มีหน้าที่ในการขับรถแต่อย่างใดนางนงลักษณ์ซึ่งเป็นผู้จัดกิจการของจำเลยที่ ๑ ใช้ให้จำเลยที่ ๓ ไปดูรถก็มิได้สั่งให้จำเลยที่ ๓ ขับรถกลับมา เพียงแต่ให้ไปดูว่ารถเสียหรือไม่เท่านั้นการที่จำเลยที่ ๓ ขับรถมาโดยพลการจนเกิดชนกับรถคันอื่น จะถือว่าเป็นการกระทำในทางการที่จ้างหาได้ไม่ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๓
สำหรับจำเลยที่ ๒ ข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยที่ ๒ ขับรถมาจอดที่โกดังของบริษัทไทยวาเทรดดิ้ง แล้วทิ้งรถไว้พร้อมด้วยกุญแจ ส่วนตัวไปเสียที่อื่น เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๓ ขับรถออกไปได้เช่นนี้ แม้การกระทำของจำเลยที่ ๒ ไม่เป็นการรอบคอบอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นผลให้เกิดการละเมิดขึ้นโดยตรง ถ้าหากจำเลยที่ ๓ ไม่ขับรถคันนั้นออกไป จำเลยที่ ๒จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๓
พิพากษายืน

Share