คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 อันเป็นบทหนักโดยจำคุก 5 ปี แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกโดยให้ส่งตัวไปฝึกอบรมณ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง มีกำหนดขั้นต่ำ 2 ปี ขั้นสูง 3 ปีแต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ความผิดจำเลยปรับด้วยมาตรา 288 ประกอบมาตรา 81 และให้มอบตัวจำเลยแก่บิดามารดา โดยวางข้อกำหนดให้ระวังจำเลยมิให้ก่อเหตุร้าย มิฉะนั้นต้องชำระเงินหนึ่งพันบาทต่อการที่จำเลยก่อเหตุร้ายแต่ละครั้ง และให้จำเลยมารายงานตัวต่อสถานพินิจและคุ้มครองเด็กทุก 6 เดือนนั้น การที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งบทลงโทษและวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนแก่จำเลยเช่นนี้ ถือว่าเป็นการแก้ไขมาก แต่เนื่องจากศาลทั้งสองได้เปลี่ยนแปลงโทษจำคุกเป็นอย่างอื่น ซึ่งถือว่าศาลทั้งสองมิได้พิพากษาจำคุกเกิน 1 ปี หรือปรับเกินพันบาทกรณีจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางในข้อหามีอาวุธปืนพกและกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาตและพาไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร และได้ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าหากแต่ผู้เสียหายไม่ตายสมเจตนาของจำเลย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒; (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๐มาตรา ๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๗๓๑, ๙๑
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีอาวุธปืนและพาไปในที่สาธารณะแต่ปฏิเสธข้อหาพยายามฆ่า
ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๓๗๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯพ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๘๐ ซึ่งเป็นกระทงหนัก ให้จำคุก ๑๐ ปี ตามมาตรา ๙๑ลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา ๗๕ ลงกึ่งหนึ่ง คงจำคุกไว้ ๕ ปี ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นให้ส่งตัวไปฝึกอบรมในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางมีกำหนดขั้นต่ำ ๒ ปี ขั้นสูง ๓ ปี ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๑, ๑๒๓, ๓๒
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะความผิดข้อหาพยายามฆ่า
ศาลอุทธรณ์พิจารณาว่า อาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงไม่อาจทำให้ถึงตายได้แม้จะถูกอวัยวะสำคัญของร่างกายก็ตาม กรณีปรับด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๑ พิพากษาแก้ว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๐, ๘๑ จำเลยมีอายุถึงวันกระทำผิด ๑๕ ปี ๖ เดือนเศษ ให้มอบตัวจำเลยแก่บิดามารดาโดยวางข้อกฎหมายแก่บิดามารดามิให้จำเลยก่อเหตุร้ายภายใน ๒ ปี มิฉะนั้นต้องชำระเงินต่อศาลต่อการก่อเหตุร้ายขึ้นครั้งละหนึ่งพันบาท ให้จำเลยมารายงานตัวต่อสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง๖ เดือนต่อครั้ง ตลอดเวลา ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๔, ๗๕นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งบทลงโทษและการใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนแก่จำเลย เป็นการแก้ไขมากตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยให้ส่งตัวไปฝึกและอบรมในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง มีกำหนดขั้นต่ำ ๒ ปีขั้นสูง ๓ ปี และตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้มอบตัวจำเลยแก่บิดามารดาโดยวางข้อกำหนดให้บิดามารดาของจำเลยระวัง จำเลยไม่ให้ก่อเหตุร้ายตลอดเวลาสองปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๔, ๗๕ นั้นถือได้ว่าศาลเดิมและศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาให้ลงโทษจำเลยโดยจำคุกเกินหนึ่งปีหรือปรับเกินพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๒๙ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐ และฎีกาโจทก์ร่วมซึ่งขอให้เปลี่ยนแปลงดุลพินิจศาลอุทธรณ์ โดยให้ส่งจำเลยไปฝึกและอบรมในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามให้ยกฎีกาโจทก์ร่วม

Share