คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 445/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์ประกอบกับคำให้การของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและมีหน้าที่ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ด้วยความประมาทชนโจทก์เสียหายเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดในทางการที่จ้าง เมื่อจำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1 ลอบเอารถไปใช้ด้วยกิจธุระส่วนตัวของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้นำสืบให้ฟังได้ดังข้อต่อสู้ จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ขับรถชนโจทก์บาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหายเป็นการละเมิดกระทำในทางการที่จ้าง ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน
จำเลยให้การว่าโจทก์เป็นฝ่ายประมาท จำเลยที่ ๑ มิได้ทำละเมิดในทางการที่จ้าง โจทก์ไม่เสียหายเท่าที่เรียกร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถไปในทางการที่จ้าง จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์ประกอบกับคำให้การของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างและมีหน้าที่ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ด้วยความประมาทชนโจทก์บาดเจ็บและเสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำละเมิดในทางการที่จ้าง แม้จะฟังว่าจำเลยที่ ๒ มิได้ใช้ให้จำเลยที่ ๑ขับรถออกไป แต่การที่จำเลยที่ ๒ ได้มอบกุญแจรถยนต์ให้จำเลยที่ ๑ไว้ตลอดเวลาถือได้ว่าเป็นการยอมให้ใช้รถโดยปริยาย เมื่อจำเลยที่ ๒สืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ลอบเอารถไปใช้ในกิจธุระส่วนตัวตามที่ต่อสู้ไว้ จำเลยที่ ๒ จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑
พิพากษาแก้.

Share