คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 424/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟ้องขอให้โจทก์ชำระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างพร้อมทั้งดอกเบี้ย โจทก์ให้การต่อสู้ว่า ได้จ่ายเช็คเงินสดชำระหนี้ค่าสิ่งของให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้นแล้ว แต่เช็คของโจทก์หลายฉบับรับเงินไม่ได้ จำเลยจึงมอบให้นายวินัยนำเช็คไปแจ้งความ ร้อยตำรวจโทชัยชาญพนักงานสอบสวนได้ให้โจทก์ชำระหนี้จำเลย โดยจำเลยและผู้แทนจำเลยมอบให้ร้อยตำรวจโทชัยชาญเป็นคนกลางรับชำระหนี้แทน โจทก์ได้ชำระหนี้ให้จำเลยเป็นเงินสด และนางสาวพยุงบุตรสาวโจทก์ได้จ่ายเช็คให้อีก 6 ฉบับ จำเลยหรือผู้แทนจำเลยได้รับเงินไปตามเช็คที่ถึงกำหนดแล้วบางฉบับ จำเลยได้เข้าเบิกความเป็นพยานต่อศาลว่า โจทก์ไม่เคยออกเช็คชำระหนี้ให้จำเลย จำเลยไม่เคยรู้จักนายวินัย ไม่เคยมอบให้นายวินัยไปแจ้งความเรื่องโจทก์ออกเช็ค โจทก์ไม่เคยเอาเช็คของนางสาวพยุงชำระหนี้ จำเลยไม่เคยรับเช็คจากร้อยตำรวจโทชัยชาญ ไม่รู้จักร้อยตำรวจโทชัยชาญ และไม่เคยพิพาทเรื่องเช็คกับโจทก์ ซึ่งข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นพยานนี้เป็นความเท็จ หากศาลหลงเชื่อตามคำเบิกความของจำเลย ก็อาจทำให้ศาลไม่เชื่อข้อต่อสู้ของโจทก์ว่าได้ชำระหนี้บางส่วนให้จำเลยแล้วย่อมจะตัดสินให้โจทก์แพ้คดี ฉะนั้นคำเบิกความเท็จของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดี จำเลยต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จ
การฟ้องคดีฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177นั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่าพยานจะต้องสาบานตัวก่อนเบิกความ จึงจะเป็นความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจเบิกความเท็จต่อศาล ในคดีระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัดอึ้งไท้ฮงโลหะกิจ โดยนายเธียรวิทย์พินิจการวัฒนกุล หุ้นส่วนผู้จัดการ โจทก์ นายทุง โตวัน จำเลยว่าโจทก์ไม่เคยออกเช็คชำระหนี้ค่าสิ่งของให้จำเลย จำเลยไม่เคยรู้จักกับนายวินัย และไม่เคยมอบให้นายวินัยไปแจ้งความเรื่องโจทก์ออกเช็คให้แก่จำเลย ซึ่งความจริงโจทก์เคยออกเช็คชำระหนี้ค่าสิ่งของต่อจำเลยหลายฉบับ จำเลยรู้จักนายวินัยและเคยมอบให้นายวินัยไปแจ้งความเรื่องโจทก์ออกเช็คให้จำเลยต่อร้อยตำรวจโทชัยชาญ และเบิกความเท็จว่าจำเลยไม่เคยพิพาทเรื่องเช็คกับโจทก์ และไม่เคยติดต่อกับร้อยตำรวจโทชัยชาญ ซึ่งความจริงจำเลยเคยมีกรณีพิพาทเรื่องเช็คกับโจทก์ และเคยติดต่อทวงถามเงินตามเช็คในกรณีพิพาทกับโจทก์ต่อร้อยตำรวจโทชัยชาญ การเบิกความเท็จดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗
จำเลยให้การปฏิเสธ และว่าข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลเป็นความจริง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลเป็นความเท็จแต่ไม่เป็นข้อสาระสำคัญแก่คดี ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยจงใจเบิกความเท็จในข้อสำคัญแห่งคดีมีผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ ให้จำคุก ๒ เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักและไม่รอการลงโทษ
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่จำเลยเบิกความนั้นเป็นความเท็จ และเห็นว่าในคดีแพ่งดำที่ ๑๓๕/๒๕๐๘ นั้น โจทก์คดีนี้ให้การต่อสู้ว่าได้ออกเช็คชำระหนี้ให้แก่จำเลยแล้ว แต่เช็คไม่มีเงิน จำเลยมอบนายวินัยนำเช็คไปแจ้งความ จึงได้มีการประนีประนอมกัน โดยโจทก์ยอมชำระหนี้ให้และได้ชำระไปบางส่วนแล้ว การที่จำเลยเบิกความต่อศาลปฏิเสธข้อเท็จจริงเหล่านี้โดยสิ้นเชิงว่าโจทก์ไม่เคยออกเช็คให้จำเลยจำเลยไม่เคยมอบให้นายวินัยเอาเช็คไปแจ้งความ เป็นการยืนยันว่าไม่มีการตกลงชำระหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลย หากศาลเชื่อตามคำเบิกความเท็จของจำเลยในข้อเหล่านี้ ก็อาจทำให้ศาลไม่เชื่อข้อต่อสู้ของโจทก์ว่าได้ชำระหนี้บางส่วนให้จำเลยแล้ว ย่อมจะตัดสินให้โจทก์แพ้คดี ฉะนั้นคำเบิกความเท็จของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดีจำเลยต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จ
ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยได้สาบานตัวก่อนเบิกความหรือไม่ ฟ้องโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ ลงโทษจำเลยไม่ได้นั้นเห็นว่าการฟ้องคดีฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗นั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่าพยานจะต้องสาบานตัวก่อนเบิกความจึงจะเป็นความผิด
ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นและไม่รอการลงโทษจำเลยได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงแห่งคดีประกอบด้วยเหตุผลทั่วไปโดยรอบคอบแล้ว เห็นว่าตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำเลยมานั้นพอสมควรแก่รูปคดีแล้ว ยังไม่เห็นควรแก้ไข
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์จำเลย.

Share