คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นเช็คต่อธนาคารเพื่อเรียกเก็บเงิน เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ในฐานะผู้ทรงเช็คย่อมใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากผู้สั่งจ่ายได้ทันที ผู้สั่งจ่ายย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 959 ประกอบด้วยมาตรา 989 และมาตรา 204 เมื่อผู้สั่งจ่ายถึงแก่กรรม หน้าที่ที่จะต้องชำระหนี้ย่อมตกทอดไปยังกองมรดกของผู้ตายโดยผลของกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 จำเลยซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายต้องรับผิด โดยโจทก์มิต้องบอกกล่าวล่วงหน้าอีก
แม้ลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งยกอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ ลูกหนี้ร่วมที่มิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ก็ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบในประเด็นเรื่องอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นบุตร และจำเลยที่ ๒ เป็นภริยาเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายจุน จีระแพทย์ โดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๑๓ นายจุน จีระแพทย์ ได้ออกเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาถนนวิสุทธิกษัตริย์ สั่งจ่ายเงินจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาทให้แก่ “โตกี่” ซึ่งเป็นสมญาของโจทก์นำมาแลกเงินสดจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาทไปจากโจทก์ โดยตกลงให้โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารได้ในัวนที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๓ โจทก์ได้มอบเงิน ๔๐,๐๐๐ บาทให้นายจุน จีระแพทย์ไป และรับเช็คฉบับดังกล่าวไว้ ครั้นถึงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๓ โจทก์กำลังจะนำเช็คฉบับดังกล่าวไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามที่ตกลงกัน นายจุน จีระแพทย์ ก็ได้ถึงแก่กรรมเสียก่อน โจทก์จึงได้ไปพบจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองรับว่าจะใช้เงินให้โจทก์ โจทก์นำเช็คไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินในวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๔ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงไปติดต่อทวงถามให้จำเลยชำระอีก จำเลยก็ผัดผ่อนเรื่อยมา จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายจุน จีระแพทย์ ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว นายจุน จีระแพยท์จะได้สั่งจ่ายเช็คตามฟ้องนำมาแลกเงินสด ๔๐,๐๐๐ บาทไปจากนายโตกี่หรือโจทก์จริงหรือไม่ ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คจะเป็นลายมือชื่อของนายจุน จีระแพทย์หรือไม่ นายโตกี่และโจทก์จะเป็นบุคคลเดียวกันและเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยที่ ๑ ไม่ทราบและไม่รับรอง ถึงจะฟังได้ว่ามีการจ่ายเช็คตามฟ้องให้โจทก์จริง นายจุน จีระแพทย์ก็ได้ชดใช้เงินให้โจทก์แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นทายาทผู้รับมรดกของนายจุน จีระแพทย์ ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยรู้เห็นเกี่ยวกับเช็คตามฟ้อง ไม่เคยผัดผ่อนหรือได้รับการทวงถามให้ชำระหนี้มาก่อน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า นายจุน จีระแพทย์ จะได้ออกเช็คตามฟ้องนำไปแลกเงินสดจากโจทก์หรือไม่ โตกี่จะเป็นสมญาของโจทก์หรือไม่ จำเลยไม่ทราบและไม่รับรอง จำเลยไม่เคยรับรองจะใช้เงินให้โจทก์ และโจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยชำระหนี้มาก่อน ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว เห็นว่าคำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ มีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองในฐานะทายาทของนายจุน จีระแพทย์ผู้ตายชดใช้เงิน ๔๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ในประเด็นข้อ ๑ ที่ว่า โจทก์จำต้องบอกกล่าวทวงถามจำเลยที่ ๒ ให้ชำระหนี้ก่อนฟ้องคดีหรือไม่นั้น เห็นว่าหนี้รายนี้เกิดจากการที่นายจุน จีระแพทย์ผู้ตายได้ออกเช็คที่พิพาทให้โจทก์เพื่อแลกเอาเงินสดไปจากโจทก์ ต่อมาโจทก์ได้ยื่นเช็คต่อธนาคารเมื่อตั๋วเงินถึงกำหนดแล้ว ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ในฐานะผู้ทรงเช็คย่อมจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากผู้สั่งจ่ายได้ทันที ผู้สั่งจ่ายย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๕๙ ประกอบด้วยมาตรา ๙๘๙ และมาตรา ๒๐๔ แต่เมื่อปรากฏว่าผู้สั่งจ่ายถึงแก่กรรมหน้าที่ที่จะต้องชำระหนี้รายนี้ย่อมตกทอดไปยังกองมรดกของผู้ตาย โดยผลของกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา ๑๖๐๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายต้องรับผิดสำหรับหนี้รายพิพาทนี้ด้วย โดยโจทก์มิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าอีก
ในประเด็นข้อ ๒ ที่ว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยที่ ๒ ชอบหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๒ ให้การต่อสู้คดีลอย ๆ เพียงว่านายจุน จีระแพทย์ จะออกเช็คที่นำมาฟ้องหรือไม่ และจะนำเช็คนั้นมาแลกเงินสดดังที่โจทก์อ้างหรือไม่ โตกี่จะเป็นชื่อสมญาของโจทก์หรือไม่ จำเลยไม่ทราบและไม่รับรอง จำเลยไม่เคยรับรองกับโจทก์ว่าจะจัดการใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ ไม่เคยขอผิดว่าจะจัดการชำระหนี้ให้ดังที่โจทก์อ้าง จำเลยที่ ๒ มิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์รวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้งดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๗๗ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ ส่วนที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่าถ้าศาลให้สิทธิแก่จำเลยที่จะนำสืบแล้ว และถ้าปรากฏว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความจริงผลก็ย่อมตกได้แก่จำเลยที่ ๒ ด้วยนั้น ก็เห็นว่าเมื่อจำเลยที่ ๒ มิได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ จำเลยที่ ๒ ก็ไม่มีสิทธินำพยานนำสืบในประเด็นเรื่องอายุความเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน.

Share