แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย จำเลยให้การต่อสู้ว่า หากจำเลยจะต้องรับผิดบ้างก็ขอหักกลบลบหนี้กับค่าเช่าซึ่งโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยอยู่ แม้โจทก์จะมิได้แถลงโต้แย้งเกี่ยวกับข้อที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้ แต่ในชั้นพิจารณาโจทก์เบิกความเป็นพยานว่า การชำระค่าเช่าโจทก์ชำระล่วงหน้า 6 เดือน ต่อจากนั้นโจทก์ก็ชำระบ้างไม่ชำระบ้าง ส่วนใบรับเงินโจทก์ได้รับบ้างไม่ได้รับบ้าง แสดงว่าโจทก์ยังมีข้อต่อสู้ในเรื่องหนี้ค่าเช่าที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้นั้นอยู่ จำเลยจึงจะนำหนี้ค่าเช่ามาขอหักกลบลบหนี้กับค่าเสียหายที่ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระแก่โจทก์ในคดีนี้หาได้ไม่ ศาลไม่จำต้องพิจารณาต่อไปว่าโจทก์เป็นหนี้ค่าเช่าจำเลยอยู่จริงดังจำเลยกล่าวอ้างหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาไม่ยอมขายที่ดินให้ผู้มีชื่อซึ่งโจทก์พามาซื้อตามที่ตกลงกันไว้ โดยจำเลยที่ ๑ โอนขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหลานและรู้เห็นข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ อยู่ก่อนแล้ว เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและทำกลฉ้อฉลขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์๑๐๗,๗๐๘.๓๓ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่า ไม่ได้ผิดสัญญาและไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแต่อย่างไรก็ดีหากจำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดบ้าง โจทก์ก็เป็นลูกหนี้ค่าเช่าบ้านและเครื่องเรือนของจำเลยที่ ๑ อยู่๖๑๕,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ขอหักหนี้ให้หมดไป
จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๒ ซื้อที่ดินโดยสุจริต
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย๑๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทก่อนโจทก์โดยสุจริต ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ข้อที่จำเลยที่ ๑ ขอหักกลบลบหนี้ฟังว่า โจทก์ค้างชำระค่าเช่าไม่ต่ำกว่า ๕ – ๖ แสนบาท จำเลยที่ ๑ ขอหักกลบลบหนี้ได้ ทำให้หนี้ที่โจทก์จะบังคับหมดสิ้นไป จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนี้เงินค่าเช่าที่จำเลยที่ ๑ ขอหักกลบลบหนี้นั้นเป็นหนี้ที่ยังมีข้อโต้เถียงกันอยู่ไม่แน่นอนจำเลยที่ ๑ จึงขอหักกลบลบหนี้ไม่ได้ พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑ใช้เงินแก่โจทก์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันผิดสัญญา
จำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียวฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อเดียวว่า จำเลยที่ ๑ มีสิทธิหักกลบลบหนี้เงินค่าเช่ากับหนี้ค่าเสียหายที่ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระแก่โจทก์ในคดีนี้ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยยื่นคำให้การแก้คดีโจทก์ โดยขอมาในคำให้การด้วยว่า หากจำเลยจะต้องรับผิดตามฟ้องบ้าง โจทก์ก็เป็นลูกหนี้ค่าเช่าบ้านและเครื่องเรือนจำเลยอยู่เป็นเงิน๖๑๕,๐๐๐ บาท จำเลยจึงขอหักกลบลบหนี้ให้หมดไป ส่วนที่เหลือจำเลยจะได้บังคับโจทก์ต่อไปนั้น แม้โจทก์จะมิได้โต้แย้งเกี่ยวกับข้อที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้นี้แต่ประการใด แต่ในชั้นโจทก์เบิกความเป็นพยาน ก็ได้เบิกความตอนหนึ่งว่า การชำระค่าเช่าโจทก์ชำระล่วงหน้า๖ เดือน ต่อจากนั้นโจทก์ก็ชำระบ้างไม่ชำระบ้าง ส่วนใบรับเงินนั้นโจทก์ได้รับบ้างไม่ได้รับบ้าง จึงแสดงอยู่ว่าโจทก์ยังมีข้อต่อสู้ในเรื่องหนี้ค่าเช่าที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้นั้นอยู่ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๔๔ บัญญัติไว้ว่า “สิทธิเรียกร้องใดยังมีข้อต่อสู้อยู่ สิทธิเรียกร้องนั้นท่านว่าหาอาจจะเอามาหักกลบลบหนี้ได้ไม่ ฯลฯ” ฉะนั้น เมื่อปรากฏว่าสิทธิเรียกร้องค่าเช่าที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้ยังมีข้อต่อสู้อยู่ดังวินิจฉัยแล้วจำเลยก็ขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์ไม่ได้ ไม่มีข้อที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่า โจทก์เป็นหนี้ค่าเช่าจำเลยอยู่จริงดังจำเลยกล่าวอ้างหรือไม่ คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๐๖/๒๕๐๕ ที่จำเลยอ้างนั้น ไม่ตรงกับคดีนี้ เพราะคดีนั้นเป็นการหักกลบลบหนี้ตามข้อสัญญาที่มีระหว่างโจทก์จำเลย
พิพากษายืน