แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี โดยลดโทษให้กึ่งหนึ่งฐานรับสารภาพ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้รอการลงโทษดังกล่าวไว้มีกำหนด 3 ปี กรณีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
ย่อยาว
ข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้องโจทก์และคำรับสารภาพจำเลยว่าจำเลยมีอาวุธปืนเล็กยาวแบบ ๘๓ ขนาด ๗.๖๒ มิลลิเมตร จำนวน ๑ กระบอก กับลูกกระสุนจำนวน ๓๒ นัด และลูกระเบิดมือซึ่งมีแรงประหาร ๑ ลูก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอาวุธใช้เฉพาะแต่ในการสงครามไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๕๕, ๗๘ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๐๑ มาตรา ๕, ๘ กฎกระทรวงฉบับที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๐๑ ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ (๓) ช. (๑๒), (๑๖) ลงโทษจำคุกจำเลย๒ ปี จำเลยรับสารภาพโดยดีมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๗๘ ลดโทษลงกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์ขอความปรานีเกี่ยวกับการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่ามีพฤติการณ์ควรปรานี พิพากษาแก้ โดยให้รอการลงโทษของศาลชั้นต้นไว้มีกำหนด ๓ ปี
โจทก์ฎีกาว่ายังไม่มีเหตุผลที่ควรให้รอ
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยมีกำหนด ๑ ปี แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๓ ปี กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐ การใช้ดุลพินิจเกี่ยวกับโทษเป็นปัญหาข้อเท็จจริง กรณีจึงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ให้ยกฎีกาโจทก์