คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5244/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่ความตกลงกันให้จำเลยพิสูจน์เพียงประเด็นเดียวว่า หากตามพยานหลักฐานที่จำเลยส่งอ้างฟังได้ว่าที่ดินตามโฉนดที่พิพาทเป็นที่ส่วนทั้งแปลงมาแต่ครั้งบรรพบุรุษชื่อ จ. ถือกรรมสิทธิ์ แล้วให้จำเลยเป็นชนะคดี ทั้งนี้โดยขอให้ผู้พิพากษาทั้งศาลรวม 6 นายทำการออกเสียงชี้ขาดว่า ดังนี้ เป็นการมอบให้ผู้พิพากษาทั้งศาลในศาลชั้นต้นเท่านั้นเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริง เมื่อผู้พิพากษาเสียงข้างมากในศาลชั้นต้นออกเสียงชี้ขาดว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ส่วนมาแต่ครั้งบรรพบุรุษของจำเลย จำเลยจึงเป็นชนะตามคำท้า โจทก์จะอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงที่ผู้พิพากษาทั้งศาลในศาลชั้นต้นออกเสียงชี้ขาดมิได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยไปถอนคำร้องคัดค้านการรังวัดที่ดินโฉนดตามฟ้อง หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า คูน้ำแนวเขตที่ดินตามฟ้องอยู่ในเขตที่ดินโฉนดที่ ๑๘๒๘ ซึ่งตามแผนที่หลังโฉนดมีคูน้ำล้อมรอบทั้งสามด้าน และมีลำรางสาธารณประโยชน์ทางแนวเขตด้านทิศตะวันออก ส่วนที่ดินของโจทก์มีแนวเขตตรงคันดินติดกับคูน้ำซึ่งเป็นแนวเขตที่ดินจำเลย คูน้ำแนวเขตที่ดินโฉนดของจำเลยซึ่งมีความกว้างประมาณ ๑ วา มิใช่ ๓ วาตามฟ้อง มีมาแต่ครั้งบรรพบุรุษของจำเลยครอบครองใช้ประโยชน์สืบเนื่องติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายสิบปี จนกระทั่งตกทอดมาถึงจำเลยครอบครองทำประโยชน์ต่อมาเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว เมื่อโจทก์นำชี้แนวเขตคูน้ำและที่ดินหลังคูน้ำส่วนที่อยู่ในเขตโฉนดของจำเลย จำเลยจึงได้คัดค้าน ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณา คู่ความทั้งสองฝ่ายได้แถลงข้อตกลงต่อศาลว่าให้จำเลยพิสูจน์เพียงข้อเดียวว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๒๘ เป็นที่สวนมาตั้งแต่บรรพบุรุษชื่อจีนจิ๋ว ถือกรรมสิทธิ์ในปี จ.ศ.๑๒๔๕ (ร.ศ.๑๐๑) หากพยานหลักฐานของจำเลยฟังได้ โจทก์ยอมให้ที่ดินตามแนวเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาทเป็นของจำเลย หากฟังไม่ได้จำเลยยอมให้ที่ดินตามแนวเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาทเป็นของโจทก์ โดยคู่ความทั้งสองฝ่ายขอให้ผู้พิพากษาทั้งศาลรวม ๖ นายทำการออกเสียงชี้ขาด แล้วให้ศาลพิพากษาให้เป็นไปตามข้อตกลงดังกล่าว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่จำเลยโต้แย้งมาในคำแก้ฎีกาว่า คดีนี้ได้มีการตกลงกันให้จำเลยมีหน้าที่พิสูจน์เพียงประเด็นเดียวว่า ที่ดินของจำเลยตามโฉนดเลขที่ ๑๘๒๘ เลขที่ดิน ๑๑๑ มีสภาพเป็นที่สวนทั้งแปลงมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษของจำเลย โดยให้ศาลวินิจฉัยจากพยานหลักฐานที่จำเลยส่งอ้างต่อศาล โดยให้ถือคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในประเด็นดังกล่าวเป็นข้อแพ้ชนะในคดี เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่ดินของจำเลย แปลงดังกล่าวเป็นที่สวนตามคำท้า คำพิพากษาศาลชั้นต้นย่อมถือเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๘ นั้น เห็นว่าข้อตกลงของคู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นเรื่องที่คู่ความตกลงกันขอให้จำเลยพิสูจน์เพียงประเด็นเดียวว่าพยานหลักฐานที่จำเลยส่งอ้างฟังได้ว่าที่ดินตามโฉนดที่พิพาทเป็นที่สวนทั้งแปลงมาแต่ครั้งบรรพบุรุษชื่อจีนจิ๋วถือกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ จ.ศ.๑๒๔๔ (ร.ศ.๑๐๑) หรือไม่ โดยโจทก์และจำเลยตกลงกันขอให้ผู้พิพากษาทั้งศาลรวม ๖ นาย ทำการออกเสียงชี้ขาดแล้วให้ศาลพิพากษาไปตามข้อตกลงดังกล่าวนั้นอันเป็นการมอบให้ผู้พิพากษาทั้งศาลในศาลชั้น ต้นเท่านั้นเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริง จึงมีลักษณะเป็นคำท้า หรือเรียกได้ว่ามีการตกลงกันในประเด็นแห่งคดี โดยมิได้มีการถอนฟ้อง และข้อตกลงนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๘ แล้ว และต่อมาผู้พิพากษาเสียงข้างมากในศาลชั้นต้นออกเสียงชี้ขาดว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๒๘ ของจำเลยเป็นที่สวนมาแต่ครั้งบรรพบุรุษของจำเลย จำเลยจึงเป็นฝ่ายชนะคดีตามคำท้า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังข้อเท็จจริงตามที่ผู้พิพากษาทั้งศาลในศาลชั้นต้นออกเสียงชี้ขาด โจทก์จะอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงที่ผู้พิพากษาทั้งศาลในศาลชั้นต้นออกเสียงชี้ขาดมิได้ การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานแล้ววินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงอีกชั้นหนึ่ง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกาย่อมมีอำนาจเพิกถอนเสียได้ และต้องพิพากษาให้เป็นไปตามที่ตกลงท้ากัน
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share