คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายมาพบเห็นจำเลยกำลังลักสังกะสีบนหลังคาจึงร้องถามจำเลย จำเลยกระโดดลงมาจากหลังคาคว้าเอาอาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงมายังผู้เสียหาย 2 นัด ขณะอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ 3 วา กระสุนปืนถูกดินห่างจากผู้เสียหายประมาณครึ่งเมตร ผู้เสียหายคลานหลบหนีมาได้ 5 วา ก็ได้ยินเสียงปืนดังมาจากจำเลยอีก 2 นัด และ 3 นัดตามลำดับ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงใช้ยิงทีละนัดก็ได้หรือจะยิงทีละหลายนัดก็ได้ยิงมายังผู้เสียหายครั้งแรก 2 นัด โดยไม่ปรากฏสิ่งกำบังระหว่างจำเลยกับผู้เสียหาย หากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายก็อาจยิงรัวไปที่ผู้เสียหายโดยไม่ต้องเล็ง กระสุนปืนย่อมจะถูกผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้โดยง่าย แต่การที่จำเลยยิงไปที่ผู้เสียหายกระสุนปืนตกห่างผู้เสียหายเพียงครึ่งเมตร และยิงครั้งต่อไปกระสุนปืนไม่ถูกผู้ใดเลย แสดงว่าจำเลยยิงขู่เพื่อการพาทรัพย์ที่ลักไป ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยยิงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า จำเลยไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันลักสังกะสีของนายงก ผู้เสียหายโดยใช้ยานพาหนะและใช้อาวุธปืนเอ็ม ๑๖ ยิงนายงกกับนายสอื้น ผู้เสียหายหลายนัดโดยมีเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕, ๓๓๖ ทวิ, ๒๘๘, ๘๐, ๘๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา๓๓๕ (๑) (๗), ๓๓๖ ทวิ, ๒๘๘, ๘๐, ๘๓ ฐานลักทรัพย์จำคุก ๒ ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นจำคุก ๑๓ ปี รวมจำคุก ๑๕ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นและลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา๗๘ ในข้อหาลักทรัพย์จำคุก ๑ ปี ๔ เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยมีอาวุธปืนเอ็ม ๑๖ ติดตัว ได้ร่วมกับนายประยูร บุญรังษีลักเอาสังกะสีจำนวน ๑๓ แผ่นราคา ๒๖๐ บาท ของผู้เสียหายที่ ๑ ไปโดยทุจริต ในการลักทรัพย์ดังกล่าวจำเลยกับพวกใช้รถจักรยานยนต์และรถเข็นเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การลักทรัพย์และพาทรัพย์นั้นไป ในการลักทรัพย์จำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงหลายนัด กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหายทั้งสอง ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายทั้งสองเบิกความสอดคล้องต้องกันว่าผู้เสียหายทั้งสองได้ยินเสียงสังกะสีดังโครมคราม เสียงมาจากกระท่อมที่บ่อปลาซึ่งไม่มีคนเฝ้าผู้เสียหายทั้งสองจึงค่อย ๆ เดินย่องแอบ ๆ ไป เมื่อเข้าใกล้กระท่อมห่างประมาณ ๓ วา ผู้เสียหายทั้งสองเห็นจำเลยกำลังรื้อสังกะสีบนหลังคา ส่วนชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่ที่พื้นดินเห็นไม่ชัด ผู้เสียหายที่ ๒ ร้องตะโกนขึ้นว่า ‘มนูทำไมมารื้อสังกะสีของพ่อใหญ่กู’ จำเลยจึงกระโดดลงมาจากหลังคาคว้าอาวุธปืนเอ็ม ๑๖ จำเลยยืนยิงหันปากกระบอกปืนมาทางผู้เสียหายทั้งสองจำนวน ๒ นัด กระสุนปืนถูกดินห่างจากผู้เสียหายที่ ๒ ประมาณครึ่งเมตร ผู้เสียหายทั้งสองหมอบและคลานกลับมาทางเก่าก่อนถึงรถเข็น จำเลยยิงปืนอีก ๒ นัด เมื่อคลานมาถึงบริเวณรถเข็นจอดอยู่ ผู้เสียหายที่ ๒ ถีบรถเข็นตกลงไปในคลองฝายน้ำล้น ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีก ๓ นัด ผู้เสียหายทั้งสองจึงรีบวิ่งกลับบ้าน ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยอยู่ห่างผู้เสียหายทั้งสองประมาณ ๓วา จำเลยใช้อาวุธปืนเอ็ม ๑๖ ยิงมายังผู้เสียหายครั้งแรก ๒ นัด โดยไม่ปรากฏว่ามีสิ่งกำบังระหว่างจำเลยกับผู้เสียหาย จำเลยยืนยิงจึงมีโอกาสยิงถูกผู้เสียหายทั้งสองได้โดยง่าย ทั้งนี้เนื่องจากอาวุธปืนเอ็ม ๑๖ ที่จำเลยใช้ยิงเป็นอาวุธปืนที่ยิงทีละนัดก็ได้หรือจะยิงทีละหลายนัดก็ได้และมีประสิทธิภาพสูง เมื่อกระสุนปืน ๒ นัดแรกไม่ถูกผู้เสียหาย หากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายจริงอาจจะยิงรัวไปที่ผู้เสียหายโดยไม่ต้องเล็งกระสุนปืนก็จะถูกผู้เสียหายถึงแก่ความตายโดยง่ายดาย ดังนั้นการที่จำเลยยิงปืนไปที่ผู้เสียหายกระสุนปืนตกห่างผู้เสียหายที่ ๒ เพียงครึ่งเมตร และยิงปืนครั้งต่อไปกระสุนปืนไม่ถูกผู้ใดเลยแสดงว่าจำเลยยิงปืนขู่เพื่อการพาทรัพย์นั้นไป การกระทำของจำเลยยังไม่พอฟังว่าจำเลยยิงปืนไปที่ผู้เสียหายทั้งสองโดยเจตนาฆ่า จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่า ผู้เสียหายดังโจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน.

Share