คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์เคยเบิกความรับว่าภาพถ่ายลายมือชื่อของโจทก์ในเอกสารหมาย ล.3 เป็นลายเซ็นของโจทก์จริง แสดงว่าโจทก์มิได้ปฏิเสธความถูกต้องของภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.3 จึงเท่ากับโจทก์ยอมรับว่าเอกสาร ล.3 เป็นสำเนาเอกสารที่ถูกต้องแล้ว ศาลย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93 (1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยากัน โจทก์ที่ ๒ ให้โจทก์ที่ ๑ เข้าหุ้นกับจำเลยที่ ๑ ซื้อที่พิพาท ต่อมาจำเลยทั้งสองได้สมคบกันปลอมหนังสือมอบอำนาจว่าโจทก์ที่ ๑ กับจำเลยที่ ๑ ขายที่พิพาทให้จำเลยที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อจึงโอนที่พิพาทให้จำเลยที่ ๒ ขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาท และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์มิได้เข้าหุ้นกับจำเลยที่ ๑ ซื้อที่พิพาท จำเลยที่ ๑ ออกเงินซื้อแต่เพียงผู้เดียวแต่ได้ใส่ชื่อโจทก์ที่ ๑ เป็นผู้ซื้อร่วมซึ่งโจทก์ที่ ๑ เคยทำบันทึกข้อความว่าจะโอนคืนให้จำเลยที่ ๑ ต่อมาโจทก์ที่ ๑ ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ โอนที่พิพาทให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ได้โอนขายให้จำเลยที่ ๒ ลายเซ็นชื่อโจทก์ที่ ๑ ในช่องผู้มอบอำนาจไม่ใช่ลายเซ็นปลอม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ที่ ๒ ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าบันทึกหลักฐานว่าโจทก์ที่ ๑ ไม่ได้เข้าหุ้นซื้อที่พิพาทจึงยอมโอนที่พิพาทให้จำเลยตามเอกสารหมาย ล.๓ เป็นภาพถ่ายเอกสารซึ่งถ่ายจากต้นฉบับ ไม่ใช่ต้นฉบับของเอกสารจึงต้องห้ามมิให้รับฟังตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๙๓ นั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ที่ ๑ เคยเบิกความรับ (ในคดีอื่น) ว่าภาพถ่ายลายมือชื่อของจำเลยที่ ๑ ในเอกสารหมาย ล.๓ เป็นลายเซ็นของโจทก์ที่ ๑ จริง แสดงว่าโจทก์ที่ ๑ มิได้ปฏิเสธความถูกต้องของภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.๓ จึงเท่ากับโจทก์ที่ ๑ ยอมรับว่าภาพถ่ายตามเอกสารหมาย ล.๓ เป็นสำเนาเอกสารที่ถูกต้องแล้ว ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๙๓ (๑) ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share