คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2852/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การครอบครองโดยมีเจตนายึดถือเพื่อตน เป็นเรื่องการได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษเป็นเรื่องความรับผิดอาญา คำว่า มีไว้ในครอบครอง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มิได้บัญญัติให้มีความหมายพิเศษ จึงต้องถือว่ามีความหมายทั่วไป ซึ่งหมายความว่ายาเสพติดให้โทษนั้นอยู่ในความยึดถือหรือปกครองดูแลของจำเลยโดยจำเลยรู้ว่าเป็นยาเสพติดให้โทษเท่านั้น ส่วนการมีเจตนายึดถือเพื่อตนหรือไม่เพียงใดนั้นไม่ใช่ข้อพิจารณาเด็ดขาดว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ
จำเลยรับจ้างปลิดใบกัญชาหนักเกินกว่า 10 กิโลกรัม ที่บ้านของจำเลย แม้กัญชาดังกล่าวจะไม่ใช่ของจำเลย ก็ถือได้แล้วว่าจำเลยมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้แบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุกัญชาลงในถุงพลาสติกและกระสอบ จำเลยเป็นผู้ผลิตและร่วมกับผู้อื่นผลิตกัญชา แต่ไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานผลิตกัญชา คงลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงไม่เป็นการวินิจฉัยเกินคำขอ
จำเลยให้การต่อสู้คดีในแนวเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ถูกจับกุมจนกระทั่งถึงชั้นพิจารณาคดี คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยจึงนับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78.

ย่อยาว

่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีกัญชาหนัก ๘๔ กิโลกรัม ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗, ๒๖, ๗๖, ๑๐๒ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗, ๒๖, ๗๖ วรรค ๒ จำคุก ๖ ปี ของกลางริบ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คงมีปัญหาประการแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ปัญหานี้จำเลยฎีกาโต้เถียงว่า จำเลยรับจ้างบุคคลอื่นปลิดใบกัญชา มิได้มีเจตนายึดถือเพื่อตน จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองตามกฎหมาย เห็นว่า การครอบครองโดยมีเจตนายึดถือเพื่อตนตามที่จำเลยอ้างนั้นเป็นเรื่องการได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษนั้นเป็นเรื่องความรับผิดอาญาคำว่ามีไว้ในครอบครอง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔ มิได้บัญญัติให้มีความหมายพิเศษเหมือนดังเช่นคำว่าผลิต จำหน่าย นำเข้าหรือส่งออก จึงต้องถือว่ามีความหมายทั่วไปซึ่งตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ คำว่า ครอบครองหมายถึง ยึดถือไว้ มีสิทธิถือเอาเป็นเจ้าของมีสิทธิปกครองดังนี้ การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ จึงมีความหมายเพียงว่า ยาเสพติดให้โทษนั้นอยู่ในความยึดถือหรือปกครองดูแลของจำเลยโดยจำเลยรู้ว่าเป็นยาเสพติดให้โทษเท่านั้น ส่วนการมีเจตนายึดถือเพื่อตนหรือไม่เพียงใดนั้น ไม่ใช่ข้อพิจารณาเด็ดขาดว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ สำหรับคดีนี้จำเลยรับจ้างปลิดใบกัญชาของกลางหนัก ๘๔ กิโลกรัม กัญชาของกลางอยู่ในความยึดถือของจำเลยโดยจำเลยรู้ว่าเป็นกัญชาแม้กัญชาของกลางจะไม่ใช่ของจำเลย ก็ถือได้แล้วว่าจำเลยมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองและเมื่อกัญชาของกลางมีปริมาณหนักเกินกว่า ๑๐ กิโลกรัม ก็ต้องถือว่าจำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๖, ๗๖ วรรคสอง สำหรับปัญหาต่อไปว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยเกินคำขอหรือไม่ เห็นว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยฟังว่าจำเลยเป็นผู้แบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุลงในถุงพลาสติกในกระสอบจำเลยเป็นผู้ผลิตและร่วมกับผู้อื่นผลิตกัญชา แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานผลิตกัญชาตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๖, ๗๕ คงวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยมีกัญชาหนัก ๘๔ กิโลกรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อจำหน่ายอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒มาตรา ๗๖ วรรคสอง และพิพากษาลงโทษจำเลยตามบทบัญญัติดังกล่าวคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่เป็นการวินิจฉัยเกินคำขอ
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยให้การต่อสู้คดีในแนวเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ถูกจับกุมจนกระทั่งถึงชั้นพิจารณาคดี คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยจึงนับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม เหลือจำคุก ๔ ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share