คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2758/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยให้การและฟ้องแย้งเคลือบคลุมโดยมิได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธ ไม่มีเหตุผลประกอบข้ออ้างของโจทก์ว่าฟ้องแย้งเคลือบคลุมอย่างไร การที่ศาลชั้นต้นไม่กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าฟ้องแย้งเคลือบคลุมหรือไม่ จึงชอบแล้ว
ในวันที่จำเลยยื่นบัญชีระบุพยาน ศาลยังมิได้สั่งในวันนั้นต่อมาภายหลังทนายจำเลยยื่นคำร้องขอลงชื่อในบัญชีพยานศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตและสั่งรับบัญชีพยานจำเลยในวันเดียวกันด้วย ถือได้ว่าเมื่อศาลมีคำสั่งรับบัญชีพยานของจำเลยทนายจำเลยได้ลงชื่อในบัญชีพยานโดยถูกต้องแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้รับเงิน 500,000 บาทจากจำเลยเป็นการตอบแทนการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์จะออกจากที่ดินของจำเลยภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และได้ทำบันทึกเพิ่มเติมสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า โจทก์จะออกจากห้องเช่าภายใน 7 วัน นับแต่ผู้เช่าอื่นรายสุดท้ายซึ่งจำเลยได้ดำเนินการบังคับคดีได้ขนย้ายออกไปจากที่ดินเมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยย่อมมีสิทธิบังคับคดีกับโจทก์ โจทก์จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยมิได้และเมื่อโจทก์ผิดสัญญาโจทก์ก็ต้องคืนเงิน 500,000 บาทให้จำเลยตามฟ้องแย้ง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๔๑๕๗ และ ๖๐๘๕ ตำบลคลองเตย อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร ได้ให้โจทก์กับพวกเช่าที่ดินดังกล่าวมีกำหนด ๑๕ ปี ก่อนครบกำหนดเวลาเช่าจำเลยที่ ๑ ได้โอนที่ดินโฉนดที่ ๖๐๘๕ ให้จำเลยที่ ๓ และโอนที่ดินโฉนดที่ ๔๑๕๗ ให้จำเลยที่ ๒ เมื่อครบกำหนดเวลาเช่าแล้วจำเลยทั้งสามได้เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์ต่อศาลแพ่งในระหว่างดำเนินคดี ตัวแทนทั่วไปของจำเลยทั้งสามกับจำเลยที่ ๓ คดีนี้ได้มาตกลงกับโจทก์ว่า ถ้าโจทก์ยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยทั้งสี่ว่ายอมออกจากที่พิพาทภายใน ๑๕ วัน ก็จะยอมให้ค่าตอบแทนแก่โจทก์ ๗๐๐,๐๐๐ บาท ชำระในวันทำสัญญา ๕๐๐,๐๐๐ บาท อีก ๒๐๐,๐๐๐ บาท จะชำระเป็นเช็คให้นำไปรับเงินได้ในวันที่ขนย้ายออกจากที่ดิน จำเลยแล้ว และจำเลยได้ทำสัญญาให้โจทก์ไว้นอกคดีว่า จำเลยทั้งสามยินยอมให้โจทก์ได้ใช้ประโยชน์ในตึกแถวเลขที่ ๑๓๔/๔-๕ กับ ๑๓๖ ต่อไปจนกระทั่งผู้เช่ารายสุดท้ายออกจากที่ดินจำเลยไปเมื่อใด โจทก์จะต้องขนย้ายออกไปภายใน ๗ วัน โจทก์ตกลงยอมรับข้อเสนอ ต่อมาจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอให้บังคับโจทก์ออกจากที่ดินจำเลย อ้างว่าโจทก์ยังอยู่ในที่พิพาทและได้แถลงต่อศาลแพ่งว่า โจทก์ยังใช้ที่พิพาททำการค้าอยู่ในห้องเลขที่ ๑๓๔/๔-๕ และ ๑๓๖ ขอให้จับกุมโจทก์มากักขังและไม่รับรองความถูกต้องของบันทึกต่อท้ายสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลแพ่งมีคำสั่งให้โจทก์ส่งมอบที่ดินและตึกพิพาทคืนจำเลยทั้งสามภายในหนึ่งเดือนการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการผิดสัญญาเพราะผู้เช่ารายสุดท้ายยังมิได้ออกไปจากที่ดินยังอยู่ในระหว่างดำเนินคดีขับไล่ จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธิบังคับคดีกับโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายขาดรายได้จากการใช้ประโยชน์ในตึกเลขที่ ๑๓๔/๔-๕ และ ๑๓๖ ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งสามให้ปฏิบัติตามสัญญาลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ ให้จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งว่า ไม่ติดใจบังคับคดีกับโจทก์และยอมให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในตึกพิพาทเลขที่ ๑๓๔/๔-๕ กับ๑๓๖ ต่อไปจนกว่าผู้เช่ารายสุดท้ายจะออกไปจากที่ดินของจำเลยหมดแล้ว ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๓๗,๕๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องถึงวันที่โจทก์ได้ใช้ตึกพิพาทอีกต่อไป
จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า ฝ่ายจำเลยไม่เคยตกลงจะให้เงินโจทก์ ๗๐๐,๐๐๐ บาท ไม่เคยให้เช็คจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ความจริงในระหว่างพิจารณาคดีขับไล่ดังกล่าว โจทก์มาพบจำเลยที่ ๓ ขอเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท อ้างว่า เพื่อจะเอาไปให้ผู้เช่าคนอื่นๆ เป็นค่าขนย้ายรวมทั้งค่าขนย้ายของโจทก์เอง และสัญญาว่าโจทก์จะขนย้ายจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยภายใน ๑๕วัน และจะจัดการให้ผู้เช่าอื่นๆ ออกไปภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันทำสัญญายอมเช่นกัน จำเลยที่ ๓ หลงเชื่อจึงสั่งจ่ายเช็คจำนวน๕๐๐,๐๐๐ บาทต่อมาโจทก์ไม่ทำตามสัญญา เอาเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาทไว้คนเดียวไม่ให้ค่าขนย้ายกับผู้อื่น จึงไม่มีใครยอมออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในที่สุดจำเลยต้องฟ้องขับไล่บุคคลเหล่านั้นรวม ๑๒ คดี และโจทก์กลับนำเอาห้องเลขที่ ๑๓๔/๔-๕ และ๑๓๖ ไปให้ผู้อื่นเช่าแทนที่จะจัดการให้ผู้เช่าอื่นออกไปสัญญาท้ายฟ้องเกิดจากการฉ้อฉลถึงขนาดถ้าจำเลยที่ ๓ และตัวแทนทั่วไปของจำเลยทราบว่า โจทก์จะเอาเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาทเสียคนเดียวไม่ยอมให้ค่าขนย้ายแก่ผู้เช่าคนอื่นและโจทก์จะไม่ยอมออกไปภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันทำสัญญายอมความแล้ว จำเลยที่ ๓ และตัวแทนคงจะไม่เซ็นสัญญาและจ่ายเช็คจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ ให้โจทก์รับเงินไปได้ จำเลยจึงขอบอกล้างสัญญาท้ายฟ้อง โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้พิพากษาบังคับโจทก์ให้คืนเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาทแก่จำเลยทั้งสามพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยไปพบจำเลยที่ ๓ เพื่อขอเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นค่าขนย้ายของโจทก์และผู้เช่าอื่น สัญญายอมลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ ไม่กล่าวถึงเรื่องเงินเพราะจำเลยทั้งสามให้โจทก์ปกปิดเกรงจะถูกผู้เช่าคนอื่นเรียกร้องค่าขนย้าย จำเลยนำสืบแก้ไขเอกสารมิได้ โจทก์มีสิทธินำห้องไปให้ผู้อื่นเช่าได้ตามสัญญา โจทก์มิได้ทำกลฉ้อฉล นายนิพนธ์เป็นตัวแทนทั่วไปของจำเลยทั้งสามมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ได้ จำเลยไม่มีสิทธิบังคับคดีให้โจทก์ออกจากที่พิพาทเพราะยังมีผู้เช่ารายอื่นอยู่ จำเลยทั้งสามไม่มีสิทธิฟ้องแย้งเรียกเงินคืน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า โจทก์รับเงินจากจำเลยที่ ๓เป็นค่าขนย้ายของโจทก์และของผู้เช่าอื่นโดยสัญญาว่าจะจัดการให้ผู้เช่าอื่นออกไปจากที่พิพาทภายใน ๑๕ วันนับแต่วันทำยอม แล้วโจทก์ผิดสัญญาจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ส่วนจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มิได้จ่ายเงินตามเช็คให้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินคืน พิพากษาว่าให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้โจทก์คืนเงินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องแย้ง (๑๘ มิถุนายน ๒๕๒๔) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่จำเลยที่ ๓
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นไม่กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าฟ้องแย้งเคลือบคลุมหรือไม่ เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยต้องแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยฟ้องแย้งให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งเคลือบคลุม ไม่มีประเด็นนำสืบตามคำให้การและฟ้องแย้ง เป็นฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องยกฟ้องเสียจึงจะชอบเช่นนี้ จึงเป็นคำให้การที่มิได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธ ไม่มีเหตุผลประกอบข้ออ้างของโจทก์ว่าฟ้องแย้งเคลือบคลุมอย่างไร ที่ศาลชั้นต้นไม่กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทจึงชอบแล้ว
โจทก์ฎีกาข้อต่อไปว่า จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานไม่ชอบไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ทนายจำเลยลงชื่อในบัญชีพยานภายหลังเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๒๔ ศาลยังมิได้สั่งในวันนั้นต่อมาวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๒๔ ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอลงชื่อในบัญชีพยาน ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตในวันเดียวกันและสั่งรับบัญชีพยานจำเลยในวันเดียวกันด้วย จึงถือได้ว่า เมื่อศาลมีคำสั่งรับบัญชีพยานของจำเลย ทนายจำเลยได้ลงชื่อในบัญชีพยานโดยถูกต้องแล้ว
ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่า การบังคับคดีของจำเลยเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ทำให้โจทก์เสียหายและศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์คืนเงินแก่จำเลยที่ ๓ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้รับเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท จากจำเลยเป็นการตอบแทนการทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า โจทก์จะออกจากที่ดินของจำเลยภายในกำหนด ๑๕ วันนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความและได้ทำบันทึกเพิ่มเติมสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า โจทก์จะออกจากห้องเลขที่ ๑๓๔/๔-๕, ๑๓๖ ภายใน ๗ วัน นับแต่ผู้เช่าอื่นรายสุดท้ายซึ่งจำเลยได้ดำเนินการบังคับคดีได้ขนย้ายออกไปจากที่ดิน ในคดีฟ้องขับไล่นั้นจำเลยทั้งสามฟ้องโจทก์กับนายเต็กเซียง แซ่เตียวนายชาญชัย มหพันธ์ นายสุทธิ เลิศหิรัญวิบูลย์ นายเสริม กังวาลวัฒนาซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับโจทก์ต่อมาจำเลยทั้งสามขอถอนฟ้องนายเต็กเชียง แซ่เตียว ซึ่งถึงแก่กรรม และหลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว นายชาญชัย มหพันธ์ นายสุทธิเลิศหิรัญวิบูลย์ นายเสริม กังวาลวัฒนา ผู้เช่าที่ดินกับจำเลยได้ออกจากที่ดินของจำเลยไปตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ โดยจำเลยมิได้ดำเนินการบังคับคดีกับผู้เช่าเหล่านี้แต่โจทก์กับบริวารไม่ยอมออกจากที่ดินทั้งโจทก์ยังนำห้องเลขที่ ๑๓๔/๔-๕,๑๓๖ ไปให้ผู้อื่นทำสัญญาเช่าช่วงหลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยแล้วศาลชั้นต้นเคยเรียกโจทก์มาสอบถาม โจทก์แถลงต่อศาลเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๒๔ ว่า โจทก์ออกจากที่ดินและอาคารพิพาทแล้ว จำเลยขอไปสืบสวนดูว่าเป็นความจริงหรือไม่ และพบว่าไม่เป็นความจริงจึงยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกหรือหมายจับโจทก์ โจทก์ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๒๔ ว่า โจทก์ยังอยู่ในห้องเลขที่ ๑๓๔/๔-๕, ๑๓๖ จริง โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยย่อมใช้สิทธิบังคับคดีกับโจทก์ได้ โจทก์จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยมิได้และเมื่อโจทก์ผิดสัญญาโจทก์ก็ต้องคืนเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๓ ตามฟ้องแย้ง โดยไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในข้อที่ว่ามีข้อตกลงให้โจทก์นำเงินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ไปให้ผู้เช่ารายอื่นเพื่อให้ออกไปจากที่ดินหรือไม่เพราะไม่ทำให้ผลของคำวินิจฉัยเปลี่ยนไป ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีแล้วมิได้พิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในฟ้องแย้ง
พิพากษายืน.

Share