คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2404/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นข้าราชการกรมโจทก์และใช้รถยนต์ของโจทก์เป็นยานพาหนะเดินทางไปตรวจราชการต่างจังหวัด ระหว่างทางรถยนต์ถูกรถบรรทุกเฉี่ยวชน เกิดเหตุแล้วคนขับรถคันของจำเลยได้จอดรถตรวจตราความเสียหายและเก็บเศษกระจกรถทิ้ง ส่วนรถบรรทุกได้ขับหลบหนีไปด้วยความเร็วสูง และไปไกลจนถึงหากจำเลยจะสั่งให้ขับรถติดตามไปก็ไม่แน่ว่าจะพบรถบรรทุกคันดังกล่าวหรือไม่ ดังนี้แม้คำสั่งของโจทก์จะระบุให้ผู้ใช้รถสอบสวนให้ได้ตัวผู้รับผิดมาชดใช้ค่าเสียหายก็ตามการที่จำเลยไม่ติดตามรถบรรทุกไปในพฤติการณ์เช่นนี้ ก็ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดมาชดใช้ค่าเสียหายถึงขนาดที่จะถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นข้าราชการในกรมโจทก์ ได้ใช้รถยนต์ของโจทก์เป็นยานพาหนะไปตรวจราชการที่จังหวัดขอนแก่น ระหว่างทางรถยนต์ถูกรถบรรทุกเฉี่ยวชนและหลบหนีไป จำเลยซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบรถของโจทก์เพิกเฉยละเลยไม่สั่งให้พนักงานขับรถติดตามรถบรรทุกไป ไม่แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่เกิดเหตุ และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของกรมที่ดินที่ ๕๓๖/๒๕๑๖ ข้อ ๑๓ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยชดใช้ค่าซ่อมรถ
จำเลยให้การและแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า เกิดเหตุแล้ว คนขับรถบรรทุกไม่หยุดให้ความช่วยเหลือ แต่กลับขับรถหลบหนีไปโดยเร็วจนสุดวิสัยที่จะตามได้ทัน จำเลยไม่ได้แจ้งความเพราะตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช ๒๕๒๒ มาตรา ๗๘ กำหนดให้ผู้ขับรถเป็นผู้แจ้งเหตุ ไม่ใช่หน้าที่จำเลย และตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยรถยนต์ราชการ พ.ศ. ๒๕๒๓ ข้อ ๑๙ วรรค ๒ ก็กำหนดให้เป็นหน้าที่ของพนักงานขับรถต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบถึงความเสียหาย จำเลยจึงมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ นอกจากนี้เมื่อกลับจากตรวจราชการ จำเลยก็ได้รายงานต่อโจทก์ตามระเบียบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยถึงแก่กรรมนายประพล วัตรตระกูล ขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้นและวินิจฉัยเพิ่มเติมว่าขณะเกิดเหตุนายไพโรจน์คนขับรถของโจทก์และจำเลยต่างไม่ทราบหมายเลขทะเบียนรถบรรทุกสิบล้อที่เฉี่ยวชนรถโจทก์ และไม่ทราบว่าคนขับรถบรรทุกเป็นใคร เกิดเหตุแล้ว นายไพโรจน์จอดรถตรวจดูความเสียหายและเก็บเศษกระจกรถทิ้งอยู่พักหนึ่ง คนขับรถบรรทุกย่อมขับรถหนีไปไกลแล้วแม้จำเลยจะสั่งให้นายไพโรจน์ขับรถติดตามไปก็ไม่แน่นอนว่าจะตามไปจนพบรถบรรทุกคันดังกล่าวหรือไม่ เพราะขณะรถบรรทุกเฉี่ยวชนรถของโจทก์รถบรรทุกขับมาด้วยความเร็วสูง เมื่อขับหนีก็ขับด้วยความเร็วสูงเช่นกันเมื่อจำเลยกลับมาที่กรมโจทก์ก็ได้บันทึกรายงานอุบัติเหตุให้ผู้อำนวยการกองคลังของโจทก์ทราบ แต่โจทก์มิได้สั่งให้จำเลยดำเนินการอย่างไร แม้การปฏิบัติของจำเลยจะไม่เหมาะสมอยู่บ้าง ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเพิกเฉยละเลยไม่สอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิด ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่กล่าวมานี้ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมิได้กระทำการใด ๆ ที่จะได้ตัวผู้ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งที่จำเลยสามารถที่จะกระทำได้โดยขับรถติดตามเพื่อดูหมายเลขทะเบียนรถยนต์ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย แล้วร้องทุกข์ในภายหลังก็ได้ แต่จำเลยมีหน้าที่อยู่แล้วงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวจนไม่อาจติดตามหาผู้รับผิดได้ จึงเป็นการละเว้นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติจนเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อเกิดเหตุแล้วคนขับรถบรรทุกได้ขับรถหลบหนีไปไกลแล้ว ถึงหากจำเลยจะติดตามไปดูหมายเลขทะเบียนรถบรรทุกและคนขับรถบรรทุก เพื่อหาตัวผู้รับผิดมาชดใช้ค่าเสียหายก็ไม่เป็นที่แน่นอนว่าจำเลยจะกระทำได้สำเร็จ แม้คำสั่งกรมที่ดินที่ ๕๓๖/๒๕๑๖ ข้อ ๑๓ จะระบุให้ผู้ใช้รถสอบสวนให้ได้ตัวผู้รับผิดมาชดใช้ค่าเสียหายก็ตาม การที่จำเลยไม่ติดตามรถบรรทุกไปในพฤติการณ์เช่นนี้ ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยไม่สอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดถึงขนาดที่จะถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์
พิพากษายืน.

Share