คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 154/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมร่วมกัน โดยตกลงชำระหนี้ให้แก่ธนาคารให้ครบถ้วนภายใน 6 เดือน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมีโฉนดไว้แก่ธนาคารดังกล่าว เพื่อเป็นประกันหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. และบริษัท ย. ตามลำดับ จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องล้มละลายและศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาด ดังนี้ผู้ร้องจะอ้างว่าเป็นเจ้าหนี้ในคดีล้มละลายขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการเพิกถอนการจำนองที่ดินดังกล่าวหาได้ไม่ เพราะธนาคารเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 ที่จะบังคับเอาแก่จำเลยที่ 1 หรือผู้ร้องซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมได้โดยไม่จำต้องบังคับเอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน หากผู้ร้องเห็นว่า จำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ได้ ก็ชอบที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมให้แก่ธนาคารแล้วใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 เมื่อผู้ร้องในฐานะลูกหนี้ร่วมยังมิได้ชำระหนี้จึงไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 และไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ทั้งการที่จำเลยที่ 1 เอาที่ดินไปจำนองก็ไม่เป็นการกระทำทั้งที่รู้ว่าเป็นทางให้ผู้ร้องซึ่งมิใช่เจ้าหนี้เสียเปรียบ ประกอบกับจำเลยที่ 1 นำที่ดินไปจำนองเพื่อกิจการค้าของห้าง ฯ และบริษัท ฯ ที่ตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและกรรมการผู้จัดการอยู่ โดยไม่มีเหตุส่อแสดงว่าธนาคารรับจำนองไว้โดยไม่สุจริตและรู้อยู่ว่า เป็นทางทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ กรณีจึงไม่เข้าข่ายที่ผู้ร้องจะขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองดังกล่าว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด ต่อมาผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้คนหนึ่งในคดีล้มละลายยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการเพิกถอนจำนองที่ดินมีโฉนดระหว่างจำเลยที่ ๑ ผู้จำนองกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาผู้รับจำนอง อ้างว่าธนาคารดังกล่าวเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ ๑ และผู้ร้องในคดีแพ่ง แต่ไม่บังคับคดี กับยอมให้จำเลยที่ ๑ จำนองที่ดินดังกล่าวเป็นประกันหนี้ของบุคคลอื่น ทำให้ผู้ร้องซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมเสียเปรียบ เพราะเสียสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วเห็นว่าไม่ควรเพิกถอน ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้กลับคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ศาลชั้นต้นเห็นว่าอำนาจในการขอเพิกถอนเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หาใช่ของเจ้าหนี้ในคดีล้มละลายไม่ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พออนุมานได้ว่าผู้ร้องไม่พอใจคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ไม่ดำเนินการในชั้นศาลให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวซึ่งทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย ผู้ร้องอาศัยสิทธิตามพระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ มาตรา ๑๔๖ พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้รับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นเห็นว่าการจำนองดังกล่าวเป็นปกติธุรกิจการค้าของธนาคาร ไม่มีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต ไม่ทำให้ผู้ร้องเสียหาย ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่าที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ดำเนินการเพิกถอนการจำนองตามคำร้องนั้น ชอบแล้วหรือไม่เห็นว่าผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาร่วมกัน ตกลงชำระหนี้ให้แก่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด ให้ครบถ้วนภายใน ๖ เดือน ธนาคารจึงมีสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๙๑ ที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ ๑ หรือผู้ร้องซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมได้โดยไม่ต้องบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ก่อนแต่อย่างใด หากผู้ร้องเห็นว่า ขณะนั้นจำเลยที่ ๑ ยังมีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ได้ ก็ชอบที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่ธนาคารแล้วใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ ๑ ผู้ร้องก็จะไม่ได้รับความเสียหาย การที่ธนาคารไม่เลือกใช้สิทธิบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ ๑ เมื่อครบกำหนดตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น หาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ และปรากฏว่าขณะที่จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนจำนองนั้น ผู้ร้องก็ยังมิได้ชำระหนี้ให้แก่ธนาคาร จึงไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ ๑ และไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๑ ดังนั้นการที่จำเลยที่ ๑ เอาที่ดินไปจำนองธนาคาร จึงไม่เป็นการกระทำทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้ผู้ร้องซึ่งมิใช่เจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๑ เสียเปรียบแต่ประการใด ประกอบกับจำเลยที่ ๑ ก็นำที่ดินไปจำนองเพื่อกิจการค้าของห้าง ฯ และบริษัทที่จำเลยที่ ๑ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นกรรมการผู้จัดการอยู่ ทั้งไม่มีเหตุส่อแสดงว่าธนาคารรับจำนองโดยไม่สุจริตและกระทำไปโดยรู้อยู่ว่าเป็นทางให้ผู้ร้องเสียเปรียบ กรณีไม่เข้าข่ายที่ผู้ร้องจะขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ ได้
พิพากษายืน.

Share