แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานโดยให้โจทก์ทดลองปฏิบัติงานเป็นเวลา 180 วัน ต่อมาจำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์เพราะผลของการทดลองงานไม่เป็นที่พอใจจำเลย โดยให้การเลิกจ้างมีผลเมื่อพ้นกำหนดเวลาทดลองปฏิบัติงาน 180 วันไป 2 วัน แม้จะเพื่อประโยชน์หรือให้เป็นผลดีแก่ลูกจ้างเพียงใดก็ถือไม่ได้ว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ในขณะที่ยังอยู่ในระยะเวลาทดลองปฏิบัติงาน กรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ฯ ข้อ 46 วรรคท้าย แต่เมื่อจำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากผลของการทดลองงานไม่เป็นที่พอใจและจำเลยได้บอกเลิกจ้างภายในกำหนดระยะเวลาทดลองงานโดยได้แจ้งเป็นหนังสือให้โจทก์ทราบล่วงหน้าแล้ว แม้จะให้มีผลเลิกจ้างเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาทดลองงานไปแล้ว ก็ไม่อยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 จำเลยจึงไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าซ้ำอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำโดยให้ทดลองงานมีกำหนด ๑๘๐ วัน ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด และไม่บอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้าโดยให้เหตุผลว่าไม่ผ่านการทดลองงาน ขอให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า จำเลยเคยแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๓ ครั้ง ว่าไม่สามารถจ้างเกินกำหนดเวลาทดลองงานได้ ครั้งสุดท้ายได้แจ้งให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๒๘ ว่าจะเลิกจ้างในสัปดาห์ถัดไป คือวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๒๘ อันเป็นวันจะครบกำหนดการทดลองปฏิบัติงาน ๑๘๐ วัน ถือได้ว่าจำเลยได้แจ้งเลิกจ้างให้โจทก์ทราบล่วงหน้าถูกต้องแล้ว การที่จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างให้มีผลในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๘ อันเป็นวันอาทิตย์ก็เพื่อให้โจทก์ได้เงินเดือนเต็มครึ่งเดือน มิได้เปลี่ยนเจตนาการเลิกจ้างโจทก์ในวันสุดท้ายของการทดลองงานแต่อย่างใด จำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๒๘ โดยให้ทดลองปฏิบัติงานมีกำหนด ๑๘๐ วัน ก่อนครบกำหนดระยะเวลาทดลองปฏิบัติงานคือเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๒๘ จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันอาทิตย์ที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๘ จึงเป็นระยะเวลาที่โจทก์ให้มีผลในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๘ เกินกำหนดทดลองปฏิบัติงาน ๑๘๐ วันไป ๒ วัน จำเลยจึงต้องรับผิดชอบจ่ายเงินตามฟ้องให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทดลองปฏิบัติงานนั้นเป็นกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างเข้าทำงานเพื่อทดสอบความรู้ความสามารถและผลงานก่อน หากผลของการทดลองปฏิบัติงานเป็นที่พอใจของนายจ้าง นายจ้างก็จะรับเข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำ หากผลงานไม่เป็นที่พอใจ นายจ้างก็จะเลิกจ้างลูกจ้าง ข้อตกลงแห่งสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นไปตามนัยดังกล่าว ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าผลงานของโจทก์ไม่เป็นที่พอใจของจำเลย จำเลยย่อมมีสิทธิเลิกจ้างได้ จะถือว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหาได้ไม่ ส่วนปัญหาเรื่องค่าชดเชย เห็นว่าตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๔๖ วรรคท้าย ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้วกำหนดกรณีที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ในระยะเวลาทดลองปฏิบัติงานโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยไว้ว่า “ความในข้อนี้มิให้ใช้บังคับแก่ลูกจ้างประจำที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนและเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น หรือลูกจ้างประจำที่นายจ้างให้ทราบเป็นหนังสือแต่แรกว่าให้ทดลองปฏิบัติงานในระยะเวลาไม่เกิน ๑๘๐ วัน และยังอยู่ในเวลานั้น” คำว่ายังอยู่ในระยะเวลานั้น ย่อมหมายถึงนายจ้างเลิกจ้างในระหว่างทดลองปฏิบัติงาน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เกินกำหนดเวลาทดลองปฏิบัติงานไป ๒ วัน แม้การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เกินกำหนดระยะเวลาทดลองปฏิบัติงานดังกล่าว จะเพื่อประโยชน์หรือให้เป็นผลดีแก่ลูกจ้างเพียงใดก็ตามก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ในขณะที่ยังอยู่ในระยะเวลาทดลองปฏิบัติงาน กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นดังกล่าวที่จำเลยจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ซึ่งมีสิทธิได้รับค่าชดเชย ๓๐ วัน ของค่าจ้างอัตราสุดท้ายเป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ด้วยนั้น เห็นว่า เหตุที่จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากผลของการทดลองงานไม่เป็นที่พอใจจำเลย และจำเลยได้บอกเลิกจ้างภายในกำหนดระยะเวลาทดลองงาน๑๘๐ วัน โดยได้แจ้งเป็นหนังสือให้โจทก์ทราบล่วงหน้าเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๒๘ แม้การบอกกล่าวจะให้มีผลเลิกจ้างนับตั้งแต่วันที่ ๑๕ กันยายน ซึ่งเป็นวันพ้นกำหนดระยะเวลาทดลองงานไปแล้ว ก็ไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ จำเลยจึงไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าซ้ำอีก
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง