คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3822/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เคยออกเช็คให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อบ้าน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลมีคำสั่งให้ออกหมายจับและจำหน่ายคดี ต่อมาจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ออกเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อบ้านแทนเช็คฉบับเดิม แต่เช็คพิพาทถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ความเสียหายของโจทก์อันสืบเนื่องมาจากมูลหนี้ค่าซื้อบ้านรายเดียวกันย่อมเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้ออกเช็คฉบับเดิมต่อศาลและคดีอยู่ระหว่างพิจารณา ถือได้ว่าความเสียหายของโจทก์ในมูลหนี้รายนี้ไม่อาจเกิดขึ้นอีกได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองตามเช็คพิพาทอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์เบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า ก่อนคดีนี้จำเลยที่ ๑ เคยออกเช็คให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อบ้านจำนวนเงิน ๑๑๑,๘๐๐ บาท แต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ ๑ ต่อศาลจังหวัดมีนบุรี ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ศาลมีคำสั่งให้ออกหมายจับและจำหน่ายคดี ต่อมาจำเลยทั้งสองจึงได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อบ้านแทนเช็คฉบับเดิม โดยมีจำนวนเงินตามเช็คเท่ากัน เมื่อเช็คพิพาทถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้อีก ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์โดยเจตนาเพื่อจะชำระหนี้รายเดียวกับที่ได้ออกเช็คฉบับเดิม และโจทก์ก็รับเช็คพิพาทโดยถือว่าเป็นการรับชำระหนี้รายเดียวกันนั้น เมื่อเช็คที่จำเลยที่ ๑ ออกให้โจทก์ฉบับเดิมและเช็คพิพาทต่างก็ขึ้นเงินไม่ได้ ความเสียหายของโจทก์อันสืบเนื่องมาจากมูลหนี้ดังกล่าวย่อมเกิดมีขึ้นเพียงครั้งเดียว การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ผู้ออกเช็คฉบับเดิมต่อศาลและคดีอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยโจทก์มิได้ถอนฟ้องคดีดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าความเสียหายของโจทก์ในมูลหนี้รายนี้ไม่อาจเกิดขึ้นอีกได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีนี้และไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share