คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1930/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.สามีโจทก์ได้ทำสัญญาซื้อที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่ามีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วจากจำเลย โดยทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ ป. ยังค้างชำระราคาส่วนหนึ่งแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 4 ทวิประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ข้อ 2 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษสิทธิครอบครองในที่พิพาทจึงโอนไปเป็นของ ป.ด้วยผลของกฎหมาย ไม่จำต้องมอบการครอบครองกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 การที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อมาก็โดยอาศัยสิทธิของ ป. แต่ต่อมาวันที่ 31 ธันวาคม 2524 จำเลยไปขอรับเงินค่าที่ดินที่ค้างจาก ป.แต่ถูกปฏิเสธ จำเลยจึงบอกเลิกสัญญากับ ป. และว่าจะไม่ยอมออกจากที่พิพาท หาก ป.ต้องการให้ไปฟ้องเอา ดังนี้ แม้จะไม่เป็นผลให้สัญญาซื้อขายระหว่าง ป.กับจำเลยเลิกกันก็ตาม แต่ก็เป็นการบอกกล่าวของจำเลยต่อ ป.ว่า ไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทน ป.ต่อไป อันเป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือว่าจำเลยมิได้ยึดถือที่พิพาทแทน ป.ต่อไปตาม มาตรา 1381 ป.ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2525 การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมรดกที่พิพาทอันเป็นการสืบสิทธิจาก ป.เจ้ามรดกเพิ่งนำคดีมาฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งที่ดินดังกล่าวจากจำเลยเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2526 ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่าหนึ่งปีนับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2524 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยแย่งการครอบครอง โจทก์จึงขาดสิทธิฟ้องเอาคืนที่พิพาทตาม มาตรา 1375

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาและผู้จัดการมรดกของนายปุ้ย พรมบุตร นายปุ้ยได้ซื้อที่ดินจากจำเลยจดทะเบียนถูกต้อง จำเลยรับเงินไปแล้วและมอบ น.ส.๓ ให้แก่นายปุ้ยไว้ ต่อมาเมื่อนายปุ้ยตายและโจทก์ได้รับมรดกที่ดินนั้นแล้ว จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดิน ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าว
จำเลยให้การว่า จำเลยขายที่ดินพิพาทให้นายปุ้ย แต่นายปุ้ยยังชำระราคาให้ไม่ครบ จำเลยไปติดต่อขอรับเงินก็ถูกนายปุ้ยปฏิเสธ จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาซื้อขายและแสดงเจตนาเข้าถือสิทธิในที่พิพาทในฐานะเจ้าของโดยสงบและเปิดเผยเป็นเวลาเกินกว่า ๑ ปีแล้ว จึงได้สิทธิครอบครอง โจทก์ไม่ฟ้องเรียกคืนภายใน ๑ ปีคดีขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยและบริวาร
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้แย้งในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่าเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๔ นายปุ้ย พรมบุตร สามีโจทก์ได้ทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนการซื้อขายที่พิพาทกับจำเลยตามเอกสารหมาย จ.๓ จ.๔ จำเลยได้รับเงินในวันนั้นเป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท แต่ยังมิได้ออกจากที่พิพาท ต่อมาวันที่๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๔ จำเลยไปขอรับเงินซึ่งอ้างว่ายังค้างชำระอยู่อีก นายปุ้ยปฏิเสธอ้างว่าตกลงซื้อขายกันเพียง ๒,๐๐๐ บาท จำเลยจึงบอกเลิกสัญญากับนายปุ้ยต่อหน้าโจทก์และไม่ยอมออกจากที่พิพาท นายปุ้ยตายเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๕ โจทก์เป็นผู้รับมรดกที่พิพาทจากนายปุ้ยโดยได้จดทะเบียนโอนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ปัญหาวินิจฉัยมีว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทฟ้องให้จำเลยและบริวารออกไปได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว การซื้อขายที่พิพาทระหว่างนายปุ้ยกับจำเลยได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๔ ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๙๖ ข้อ ๒ ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษ สิทธิครอบครองในที่พิพาทจึงโอนไปเป็นของนายปุ้ยด้วยผลของกฎหมายนั้น หาจำต้องมอบการครอบครองกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๘ ดังที่จำเลยฎีกาอีกไม่ การที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อมาก็โดยอาศัยสิทธิของนายปุ้ย แต่ต่อมาภายหลังจดทะเบียนซื้อขายแล้วคือในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๔ เมื่อจำเลยถูกนายปุ้ยปฏิเสธการชำระเงินส่วนที่เหลือและจำเลยบอกเลิกสัญญากับนายปุ้ย แม้จะไม่เป็นผลให้สัญญาซื้อขายระหว่างนายปุ้ยกับจำเลยเลิกกันก็ตามแต่ก็เป็นการบอกกล่าวของจำเลยต่อนายปุ้ยว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทนายปุ้ยต่อไปเพราะปรากฏจากการตอบคำถามค้านของโจทก์ว่า ในวันจำเลยบอกเลิกสัญญานั้น จำเลยบอกนายปุ้ยว่า จำเลยจะไม่ยอมออกจากที่พิพาท หากนายปุ้ยต้องการให้ไปฟ้องเอา อันเป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือว่าจำเลยมิได้ยึดถือที่พิพาทแทนนายปุ้ยต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๑ รับกับการรื้อรั้วที่นายปุ้ยและโจทก์ไปล้อมในที่พิพาทภายหลังต่อจากนั้น แม้แต่เมื่อจำเลยไปร้องเรียนต่อทางอำเภอเพื่อให้เปรียบเทียบและตกลงกันไม่ได้ตามเอกสารหมาย ล.๑ จำเลยก็ยังยืนยันการอยู่ในที่พิพาทในลักษณะเดิมอีกดังนั้นการที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมรดกที่พิพาทอันเป็นการสืบสิทธิจากนายปุ้ยเจ้ามรดกเพิ่งนำคดีมาฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งที่ดินดังกล่าวจากจำเลยเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๒๖ ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่าหนึ่งปี นับแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๔ ซึ่งเป็นวันที่จำเลยแย่งการครอบครองโจทก์จึงขาดสิทธิฟ้องเอาคืนที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.

Share