คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3073/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกระทำความผิดฐานรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชานั้น จะต้องเป็นกรณีที่ลูกจ้างรายงานเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในอดีตหรือในปัจจุบันไม่ตรงต่อความจริง โดยรู้ถึงเหตุการณ์ที่แท้จริงอยู่แล้ว การที่ลูกจ้างรายงานถึงเหตุการณ์ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น แม้ในเวลาต่อมาจะไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นหรือมิได้เป็นไปดังรายงานก็ตามก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา
ลูกจ้างทำรายงานขออนุมัติซื้อแบตเตอรี่ของนายจ้างโดยกำหนดว่าจะชำระเงินภายใน 30 วันนับแต่วันรับของ เมื่อถึงกำหนดลูกจ้างมิได้ชำระเงินแก่นายจ้าง ดังนี้เป็นเพียงลูกจ้างผิดนัดชำระหนี้หรือผิดสัญญา เท่านั้น จะถือว่าเป็นรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาหาได้ไม่แม้จะมีประกาศของนายจ้างกำหนดว่า ถ้าไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดและนายจ้างไม่สามารถหักรายได้ของลูกจ้างชำระค่าแบตเตอรี่ได้ในเวลากำหนดถือว่าเป็นรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาก็ไม่มีผลทำให้รายงานของลูกจ้างนั้นกลับกลายเป็นรายงานเท็จไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพนักงานประจำของจำเลย เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ โจทก์ทำรายงานต่อจำเลยขอจำเลยขออนุมัติซื้อแบตเตอรี่ ๖ หม้อ โดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์จะชำระเงินค่าแบตเตอรี่ภายใน ๓๐ วันนับแต่วันรับของจำเลยอนุมัติแล้ว ต่อมาเมื่อครบกำหนดชำระเงิน โจทก์ไม่สามารถชำระเงินได้ และได้แจ้งเหตุจำเป็นแก่จำเลยแล้ว จำเลยได้ตั้งกรรมการกล่าวหาว่าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดเป็นการรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา และลงโทษตัดเงินเดือนโจทก์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์มีกำหนด ๑๐ เดือน ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นลงโทษลดขั้นเงินเดือน ๑ ขั้น การลงโทษดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับขององค์การแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยเพิกถอนยกเลิกคำสั่งดังกล่าวและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า การลงโทษโจทก์มิใช่เป็นการกลั่นแกล้งแต่เป็นเพราะโจทก์ทำผิดวินัยของจำเลย การระบุเงื่อนไขในการชำระเงินค่าแบตเตอรี่ของจำเลยเป็นการผิดไปจากประกาศองค์การแบตเตอรี่ฯ เป้นการหลอกลวงผู้บังคับบัญชา ทั้งการที่โจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในเวลากำหนดนั้น ตามประกาศองค์การแบตเตอรี่ฯ ถือว่าเป็นการรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา จำเลยจึงมีอำนาจลงโทษโจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในเวลากำหนดเป็นเพียงโจทก์ผิดนัดชำระหนี้ ไม่ใช่การรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา คำสั่งลงโทษของจำเลยเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑๑๗/๒๕๒๗ ลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๒๗ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เป็นพนักงานประจำของจำเลย โจทก์ทำรายงานเสนอต่อจำเลยที่ ๒ เพื่อขออนุมัติซื้อแบตเตอรี่ของจำเลยที่ ๑ โดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์จะชำระเงินภายใน ๓๐ วันนับแต่วันรับของ จำเลยที่ ๒ อนุมัติแล้ว ต่อมาโจทก์ไม่ชำระเงินภายในกำหนดจำเลยที่ ๒ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ กล่าวหาว่าโจทก์ทำรายงานดังกล่าวเป็นการรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา และเมื่อสอบสวนเสร็จแล้ว จำเลยที่ ๒ เห็นว่าการกระทำของโจทก์เป็นความผิดฐานรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาจึงมีคำสั่งที่ ๑๑๗/๒๕๒๗ ลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๒๗ ลงโทษโจทก์โดยลดขั้นเงินเดือน ๑ ขั้น ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีจะถือว่าลูกจ้างกระทำความผิดฐานรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชานั้น จะต้องเป็นกรณีที่ลูกจ้างรายงานเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในอดีตหรือในปัจจุบันไม่ตรงต่อความจริง โดยลูกจ้างรู้ถึงเหตุการณ์ที่แท้จริงอยู่แล้วแต่กรณีที่ลูกจ้างรายงานถึงเหตุการณ์ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต แม้ในเวลาต่อมาจะปรากฏว่าไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นหรือมิได้เป็นไปดังรายงานก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา การที่โจทก์ทำรายงานขออนุมัติซื้อแบตเตอรี่ของจำเลยที่ ๑ โดยกำหนดว่าจะชำระเงินภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันรับของนั้นเป็นเรื่องที่โจทก์ตั้งเงื่อนไขในการชำระเงินซึ่งเป็นเหตุการณ์ในอนาคต แม้เมื่อถึงกำหนดโจทก์มิได้ชำระเงินให้แก่จำเลยก็เป็นเพียงโจทก์ผิดนัดชำระหนี้หรือผิดสัญญาเท่านั้นจะถือว่าเป็นการรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาหาได้ไม่ ตามประกาศองค์การแบตเตอรี่ฯซึ่งกำหนดไว้ในข้อ ๒ ว่า ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดและจำเลยไม่สามารถหักเงินรายได้ของโจทก์ชำระค่าแบตเตอรี่ได้ในเวลาที่กำหนด ถือว่าเป็นรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชานั้น ไม่มีผลทำให้รายงานของโจทก์กลับกลายเป็นรายงานเท็จไปได้การที่จำเลยสั่งลงโทษโจทก์ตามข้อหาดังกล่าวย่อมเป็นการไม่ชอบ
พิพากษายืน

Share