คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3008/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อที่จำเลยเบิกความในวันทำการไต่สวนชั้นบังคับคดีว่าไม่เคย เป็นผู้ทรงเช็คฉบับเลขที่ 135887 และทราบว่าขณะนี้ ข. ได้ฟ้องโจทก์เพื่อให้ชำระเงินตามเช็คฉบับนั้นจำเลยจึงไม่สามารถนำมามอบคืนให้โจทก์ ซึ่งในข้อที่ ข. ฟ้องโจทก์เพื่อให้ชำระเงินตามเช็คก็เป็นความจริงเมื่อตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ก็มิได้ระบุว่าจำเลยจะต้องส่งมอบเช็ค 3 ฉบับที่จำเลยเป็นผู้ทรงเพียงแต่มีข้อความระบุว่าจำเลยจะต้องคืนเช็ค 3 ฉบับให้แก่โจทก์การที่จำเลยจะเป็นผู้ทรงหรือเคยเป็นผู้ทรงเช็คฉบับดังกล่าว หรือไม่จึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีซึ่งจะมีผลให้จำเลยพ้นความรับผิดไม่ต้องส่งมอบเช็คฉบับนั้นให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ในสำนวนคดีแพ่งของศาลจังหวัดระยองหมายเลขแดงที่ ๓๑๓/๒๕๒๒ จะมีข้อความระบุว่า เมื่อโจทก์ชำระเงินงวดแรกแล้ว จำเลยจะต้องคืนเช็คธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด สาขาระยอง จำนวน ๓ ฉบับ เลขที่ ๑๓๕๘๘๕, ๑๓๕๘๘๖ และ ๑๓๕๘๘๗ ให้แก่โจทก์แล้วต่อมาจำเลยอ้างว่าไม่มีเช็ค ๓ ฉบับดังกล่าวที่จะมอบคืนแก่โจทก์ เพื่อหลีกเลี่ยงจะไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่ในวันทำการไต่สวนในข้อบังคับคดีจำเลยก็นำเช็ค ๒ ฉบับแรกมาส่งศาลเพื่อมอบคืนแก่โจทก์แล้ว เพียงไม่ส่งเช็คฉบับเลขที่ ๑๓๕๘๘๗ โดยเบิกความว่าไม่เคยเป็นผู้ทรงเช็คฉบับดังกล่าวและทราบว่าขณะนี้นางขนิษฐาได้ฟ้องโจทก์เพื่อให้ชำระเงินตามเช็คฉบับนั้น จำเลยจึงไม่สามารถนำมามอบคืนให้โจทก์ได้ ซึ่งในข้อที่นางขนิษฐาฟ้องโจทก์เพื่อให้ชำระเงินตามเช็คเลขที่ ๑๓๕๘๘๗ ก็เป็นความจริง แต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็มิได้ระบุว่าจำเลยจะต้องส่งมอบเช็ค ๓ ฉบับที่จำเลยเป็นผู้ทรง ดังนั้น การที่จำเลยจะเป็นผู้ทรงหรือเคยเป็นผู้ทรงเช็คฉบับดังกล่าวหรือไม่ จึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีซึ่งจะมีผลให้จำเลยพ้นความรับผิดไม่ต้องส่งมอบเช็คฉบับนั้นให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้
พิพากษายืน

Share