คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1931/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเป็นนิติบุคคลประเภทหุ้นส่วนบริษัทและอำนาจของผู้แทนนิติบุคคลนั้น นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจะต้องแต่งย่อรายการซึ่งได้ลงทะเบียนส่งไปลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาและถือว่าเป็นอันรู้แก่บุคคลทั้งปวงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1021 และ 1022 จำเลยให้การแต่เพียงว่าโจทก์จะเป็นนิติบุคคลหรือไม่และบ.จะเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนตามฟ้องหรือไม่จำเลยไม่ทราบและไม่รับรองคำให้การของจำเลยเป็นการฝ่าฝืน ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดตามกฎหมายจึงไม่เป็นประเด็นที่โจทก์ จะต้องนำสืบ
การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีที่จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ทราบไม่รับรองมิใช่เป็นการปฏิเสธความแท้จริงของใบมอบอำนาจการที่จำเลยไม่ทราบไม่ใช่เหตุที่จะทำให้หนังสือมอบอำนาจของโจทก์เสียไป และที่จำเลยไม่รับรองก็ไม่ปรากฏเหตุผลจึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย
หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ระบุว่าโจทก์มอบอำนาจให้ ศ. มีอำนาจบอกกล่าวฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหาย ผู้เช่าที่ดินผู้เช่าอาคารและผู้อยู่อาศัยในที่ดินโฉนดเลขที่ 3997 เลขที่ดิน 72 เมื่อจำเลยเป็นผู้เช่าตึกแถวที่พิพาทซึ่ง ตั้งอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวศ.ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยแทน โจทก์โดยโจทก์หาจำต้องระบุชื่อผู้ที่จะถูกฟ้องในหนังสือมอบอำนาจด้วยไม่
เอกสารการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินและตึกแถวเป็นเอกสารมหาชนซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องเป็นหน้าที่ของจำเลย ที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันจะต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสารจำเลยไม่มีพยานหลักฐานอย่างใดดังนั้นเมื่อโจทก์นำสืบผู้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนประกอบ เอกสารการจดทะเบียนซื้อขายก็เป็นการเพียงพอแล้วไม่จำต้องนำสืบกรรมการของโจทก์หรือผู้ขาย หรือเจ้าพนักงานผู้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้นเมื่อศาลสืบพยานจำเลยในเรื่องค่าเสียหายไปบ้างแล้วจึงสั่งตัดพยาน จำเลยดังนี้ เป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนโจทก์ฟ้องใจความว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมอบอำนาจให้เรือตรีศุภผลฟ้องคดีแทน จำนวนสำนวนแรกเช่าตึกเลขที่ ๔๖๓ จำเลยสำนวนที่สองเช่าตึกเลขที่ ๔๖๑ และจำเลยสำนวนที่สามเช่าตึกเลขที่ ๔๖๙ ค่าเช่าเดือนละ ๔๐๐ บาทต่อหนึ่งห้อง ซึ่งตึกแถวดังกล่าวตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๙๗ มีข้อตกลงว่าเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว จำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกที่เช่าทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าว โจทก์ได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๙๗ พร้อมตึกที่จำเลยเช่าเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสามสำนวนและบริวารออกไปจากตึกแถวที่เช่า
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคลหรือไม่และนายบรรยงจะเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนตามฟ้องหรือไม่จำเลยไม่ทราบหรือไม่รับรอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การมอบอำนาจฟ้องจะถูกต้องหรือไม่ จำเลยไม่ทราบไม่รับรอง หนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะมิได้ระบุให้ฟ้องจำเลย โจทก์ไม่ได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๙๗ พร้อมสิ่งปลูกสร้างและไม่มีการจดทะเบียนการซื้อขายต่อเจ้าพนักงาน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสามสำนวนและบริวารออกไปจากที่ตึกแถวที่พิพาท
จำเลยทั้งสามสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสามสำนวนฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์มิได้นำสืบนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนนิติบุคคลนั้น การเป็นนิติบุคคลประเภทหุ้นส่วนบริษัทและอำนาจของผู้แทนนิติบุคคลนั้น นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจะต้องแต่งย่อรายการซึ่งได้ลงทะเบียนส่งไปลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือราชกิจานุเบกษา และถือว่าเป็นอันรู้แก่บุคคลทั้งปวงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๒๑ และ ๑๐๒๒ จำเลยให้การแต่เพียงว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ และนายบรรยงจะเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนตามฟ้องหรือไม่ จำเลยไม่ทราบและไม่รับรอง หาได้ต้องสู้ว่าโจทก์มิใช่นิติบุคคล และนายบรรยงมิได้กระทำการแทนโจทก์ไม่ คำให้การของจำเลยซึ่งฝ่าฝืนข้อสันนิษฐานเด็ดขาดตามกฎหมาย จึงไม่เป็นประเด็นที่โจทก์จะต้องนำสืบส่วนการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนั้นจำเลยให้การว่า จำเลยไม่ทราบไม่รับรองหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะมิได้ระบุว่าให้ฟ้องจำเลยเห็นว่าจำเลยมิได้ปฏิเสธว่าหนังสือมอบอำนาจมิใช่ใบมอบอำนาจที่แท้จริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๗ การที่จำเลยไม่ทราบไม่ใช่เหตุที่จะทำให้หนังสือมอบอำนาจของโจทก์เสียไป และที่จำเลยไม่รับรองก็ไม่ปรากฏเหตุผลจึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ระบุว่าโจทก์มอบอำนาจให้เรือตรีศุภผลมีอำนาจบอกกล่าวฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหาย ผู้เช่าที่ดิน ผู้เช่าอาคารและผู้อยู่อาศัยในที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๙๗ และดำเนินคดีแทนจนถึงที่สุด ดังนั้นเมื่อจำเลยทั้งสามสำนวนเป็นผู้เช่าตึกแถวที่พิพาทซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวเรือตรีศุภผลย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามสำนวนแทนโจทก์โดยโจทก์หาจำต้องระบุชื่อผู้ที่จะถูกฟ้องในหนังสือมอบอำนาจด้วยไม่
ในประเด็นที่ว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินและตึกแถวที่พิพาทหรือไม่นั้น โจทก์มีเรือตรีศุภผลผู้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนโจทก์เป็นพยานเบิกความประกอบเอกสารการจดทะเบียนซื้อขายว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินและตึกแถวที่พิพาทมาตามที่โจทก์กล่าวอ้างเอกสารการจดทะเบียนซื้อขายนั้นเป็นเอกสารมหาชน ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๒๗ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันจะต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือไม่ถูกต้องแห่งเอกสารจำเลยไม่มีพยานหลักฐานอย่างใด แม้โจทก์มิได้นำสืบกรรมการของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อ หรือนำสืบผู้ขายและเจ้าพนักงานซึ่งจดทะเบียน พยานหลักฐานของโจทก์ตามที่นำสืบมาก็เป็นอันเพียงพอแล้ว
ในข้อที่ว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งตัดพยานจำเลยในประเด็นเรื่องค่าเสียหายเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๐๔ ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น คดีนี้ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการสืบพยานจำเลยมาบ้างแล้วซึ่งเป็นอันเพียงพอที่จะวินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหาย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตัดพยานจำเลยจึงหาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share